รีวิวหนัง Crimson Peak ปราสาทสีเลือด ภาพยนตร์สยองขวัญ ที่มาพร้อมกับความลึกลับ ซ่อนเงื่อน

รีวิวหนัง Crimson Peak

และในวันนี้เรามี สปอยหนังผี มาแนะนำทุกๆคนนั่นก็คือเรื่อง “Crimson Peak” ที่มีชื่อเป็นไทยว่า ปราสาทสีเลือด หนัง Drama, Fantasy, Romantic Horror เป็นผลงานภาพยนตร์สยองขวัญ-แฟนตาซีเรื่องล่าสุดของผู้กำกับที่มีจินตนาการล้ำเลิศอย่าง กิลเลอร์โม่ เดลโทโร่ เรื่องราวต่อจากนี้จะเป็นอย่างไร เชิญรับอ่านรีวิวที่ด่านล่างนี้ได้เลยค่ะ เชิญติดตามหนังดังช่องทางการรับชมได้ที่ ดูหนังออนไลน์  

ปราสาทสีเลือดกับปริศนามากมาย

อีดิธเห็นผีตั้งแต่เด็กๆ

รีวิวหนัง Crimson Peak เรื่องย่อ

“ความรัก”… เป็นสิ่งที่ขับเคลื่อนให้โลกนี้สวยงาม โดยกับสาววัยแรกแย้มที่ไม่ประสีประสากับความรัก ที่มองว่าความอบอุ่นหัวใจเอาชนะได้ทุกสิ่ง

แต่.. หลายครั้ง ความรักก็มาพร้อมกับคราบน้ำตาและหยดเลือด + ความสยดสยองอย่างไม่น่าเชื่อกันเลยทีเดียว

ถ้าหากใครกำลังมองหาหนังสยองขวัญที่มีองค์ประกอบเหล่านี้อย่างครบถ้วน เชื่อว่าหนังสยองขวัญ Crimson Peak ปราสาทสีเลือด เป็นหนึ่งในตัวเลือกที่จะช่วยเติมเต็มความอยากรู้อยากเห็นในประเด็นนี้ได้เป็นอย่างดีแน่นอน

โธมัส ชาร์ป (Tom Hiddleston)

Edith Cushing ( Mia Wasikowska จาก Alice in Wonderland ) เป็นคนมีเซนส์ เห็นภูติผีวิญญาณมาตั้งแต่วันที่แม่ของเธอตายจากไป เธอเป็นลูกสาวคนเดียวของ Carter Cushing (Jim Beaver) มหาเศรษฐีเจ้าของธุรกิจก่อสร้างของอเมริกา และยังมีความใฝ่ฝันจะเป็นนักเขียน

วันหนึ่ง Edith ได้พบกับผู้ดีเก่าตกยาก Thomas Sharpe (Tom Hiddleston จาก Thor, The Avengers) ผู้ซึ่งเดินทางไกลมาจากอังกฤษเพื่อมาขอทุนจากพ่อของเธอไปพัฒนาเหมืองของเขาและรักษาปราสาทอันเป็นมรดกตกทอดของเขาเอาไว้ ทั้งสองตกหลุมรักกัน ทั้งที่พ่อของเธอไม่เห็นด้วย และ Dr. Alan McMichael (Charlie Hunnam จาก Pacific Rim) หมอหนุ่มที่แอบรัก Edith มาแต่เด็กก็ต้องอกหัก

Edith กับ Thomas แต่งงานกัน และย้ายมาอยู่ด้วยกันที่ปราสาทอันเก่าแก่ทรุดโทรมของ Thomas ที่ประเทศอังกฤษ ที่นั่นมีแค่ Thomas อาศัยอยู่กับ Lucille Sharpe ผู้เป็นพี่สาว (Jessica Chastain จาก The Help, Zero Dark Thirty, Interstellar, The Martian) เพียงสองคนเท่านั้น แต่ Edith กลับรู้สึกว่าที่นี่ไม่ได้มีแค่ Thomas กับ Lucille หากแต่ยังมีวิญญาณอาศัยอยู่ด้วย!

การดำเนินเรื่อง

อันดับแรกต้องขอบอกเลยว่าการออกแบบฉาก เสื้อผ้าและแสงสีของหนังเรื่องนี้ทำออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สวยงาม แถมยังเก็บรายละเอียดได้อย่างน่าประทับใจ นอกจากนี้ ความสยองขวัญที่ผู้สร้างหนังเรื่องนี้ ยังเป็นการค่อยๆหยอดมันลงไปทีละนิด โดยไม่จำเป็นที่จะต้องอาศัยการ Jump Scare เหมือนกับหนังผีทั่วไป

สิ่งน่าเศร้าที่เห็นได้อย่างชัดเจนจากหนังสยองขวัญ Crimson Peak ปราสาทสีเลือด ซับไทย คือ การดำเนินเรื่องราวโดยเฉพาะในตอนต้นที่ค่อนข้างช้า เหมือนกับให้ความสำคัญกับเนื้อเรื่องที่มากจนเกินไป จนทำให้ตัวละครบางตัวพัฒนาตัวเองช้าจนเกินไป

พอเอามารวมกันแล้วเลยทำให้ในช่วงแรกค่อนข้างที่จะน่าเบื่อเอาการ ดังนั้น ถ้าหากใครเป็นคนที่ความอดทนต่ำสักหน่อย ขอแนะนำว่าให้พยายามอดทนสักนิด

เมื่อผ่านพ้นช่วงเวลานี้ไปได้ หนัง ปราสาทสีเลือด ก็จะสนุกขึ้นอย่างแน่นอน แต่.. อย่างไรก็ตาม การเรียงลำดับเหตุการณ์บางอย่างของหนังเรื่องนี้ก็อาจดูแปลกไปสักหน่อย ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขัดตามากจนเกินไปนัก

รีวิวหนัง Crimson Peak

ประเภท : ผี / สยองขวัญ

ปีที่ฉาย : 2015

เวลา: 1.59 ชั่วโมง

IMDb: 6.5 / 10

ตัวละครและนักแสดงนำ

ตัวละครหลักในการดำเนินเรื่องของหนังมีอยู่ 4 ตัวละครด้วยกัน ได้แก่ พ่อโลกิของเรา Tom Hiddleston จากเรื่อง Thor (2011,2013),

นักแสดงมากความสามารถ Jessica Chastain จากเรื่อง Interstellar (2014) และ The Martian (2015) ที่กำลังเข้าฉายไล่เลี่ยกัน, Mia Wasikowska นักแสดงชาวออสเตรเลีย ที่เราอาจจะยังจำกันได้ดีจากเรื่อง Alice in Wonderland (2010), และคนสุดท้าย Charlie Hunnam จากเรื่อง Pacific Rim (2013)

ใน ส่วนของภาพรวมบทบาทของตัวละครนั้น รู้สึกว่ายังดึงคาแรคเตอร์ของแต่ละตัวออกมาได้ไม่ดีเท่าไร คือไม่ได้รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องราวจริงที่เราอินกะมัน

เหมือนมานั่งดูนักแสดงแสดงกันยังงั้น การถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกนึกคิดของตัวละคร ในส่วนที่เป็นจุดสำคัญที่จำเป็นที่จะให้คนดูได้อินกับเนื้อเรื่องก็น้อยมาก แต่ในส่วนที่เราไม่จำเป็นต้องเห็นบ่อย ๆ ก็ดันมีเยอะมากจนทำให้เราเดาทางหนังถูกไปหมด

รีวิวหนัง Crimson Peak

การเดินเรื่องเหมือนอ่านนิยายค่ะ ค่อยๆ เปิดไปทีละหน้า รู้จักตัวละครไปทีละนิด รู้เรื่องราวไปทีละน้อย มีฉากตื่นเต้นสยองขวัญเป็นพักๆ มีผีโผล่เป็นระยะ ก่อนที่อีดิธจะระแคะระคายถึงความไม่ชอบมาพากล และเรื่องก็เริ่้มขมวดปมนำมาสู่บทสรุป

โดยรวมถือว่าไม่เลวค่ะ แต่ยอมรับว่าหนังก็เดินเรื่องช้าอยู่เหมือนกัน บางจังหวะหนังก็แอบอืดอยู่จนอาจทำให้หลายคนเบื่อได้

ซึ่งโดยรวมแล้วหนังยาว 2 ชั่วโมงนะคะ จริงๆ จะเฉือนบางอย่างออกบ้างก็ไม่ว่ากัน หรือจะกระชับบางประเด็นหน่อยก็ได้ โดยเฉพาะตอนกลางเรื่องพออีดิธมาถึงบ้านแล้ว หลายช่วงมันอืดและมันวนไปนิดค่ะ โดยเฉพาะการโผล่ของผีที่แม้จะมาในหลายลีลา แต่บางตอนมันก็ไม่ได้มีผลต่อเรื่องเท่าไร

หรือการสืบหาความจริงของอีดิธที่จะว่าไปก็ออกจะสโลว์ไลฟ์ไปนิดนึง แต่ก็นั่นแหละค่ะ หากมองแบบรวมๆ แล้ว หนังถือว่าออกมาโอเค น่าติดตามประมาณหนึ่ง

และมีจุดเด่นมากๆ ในเรื่องภาพและงานโปรดักชั่น ซึ่งเราชอบนะ บ้านผีสิงแบบอลังการแบบนี้ มันดูสวย ลึกลับ และมีมนต์ขลังดี ยิ่งการที่บ้านมีสีแดงเป็นโทนหลักก็ยิ่งเพิ่มความขลังมากขึ้นไปอีก

ภาพและฉากของตัวหนัง

เรื่องฉากและส่วนประกอบในหนังเรื่องนี้ ขึ้นชื่อว่าเป็นของผู้กำกับ Guillermo del Toro แล้ว สำหรับแฟนหนังของเขาอย่าง Pan’s Labyrinth (2006)

หรือ Hellboy II: The Golden Army (2008) ทำออกมาได้สวยและเป็นเอกลักษณ์ของธีมในเรื่องนี้มาก ถึงแม้ว่าฉากต่าง ๆ จะมีไม่มากนัก แต่เรื่องรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ทำให้ภาพรวมและโทนของหนังออกมาให้เราอินกับสถานที่และช่วงเวลาในหนังจริง ๆ

จุด เด่นและฉากเด็ด ๆ ในหนังได้ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านทางเทรลเลอร์เกือบจะทั้งหมดแล้ว ถ้าใครที่ได้ดูเทรลเลอร์แบบหนักหน่วงติดตามตลอด อาจจะต้องออกจากโรงแบบ นี่เราแค่มาดูหนังเพื่อความแน่ใจว่าทฤษฎีเนื้อเรื่องเกี่ยวกับหนังที่เราคิด ไว้มันถูกต้องใช่ไหม

อิดิธ คุชชิ่ง (Mia Wasikowska)

การดำเนินเรื่องของหนังในช่วงแรกเป็นไปแบบติด ๆ ขัด ๆ เข้าใจว่าผู้กำกับพยายามจะอธิบายให้เราเข้าใจถึงคาแรกเตอร์ และชีวิตของตัวละครหลัก

แต่กลายเป็นว่าเป็นการเปิดประเด็นให้เราต้องเดาจุดไคลแมกซ์กันตั้งแต่ 15 นาทีแรกของหนัง ทำให้เราต้องดูหนังในส่วนที่เหลือแบบอึดอัดและอืดอาด

จนในส่วนของตอนจบก็ไม่ได้ทำให้เราตราตรึงเพราะเดาออกตลอดเรื่อง เป็นการเล่าเรื่องแบบเป็นเส้นตรงเลย ไม่มีให้ เอ๊ะ อ๊ะ อ้อ… เป็นแบบ โอเค โอเค อั่ม…แค่นี้ตามที่คิดใช่มั้ย

รีวิวหนัง Crimson Peak บทสรุป

เราโอเคที่นางเอกบอกตั้งแต่ต้นเรื่องแล้วว่า นี่ไม่ใช่หนังผี หากแต่เป็นเรื่องราวที่มีผีเป็นส่วนประกอบ และเธอก็ชอบใช้ “ผี” เป็นอุปมาอุปไมย (metaphor) แทนถึง “อดีต” ในงานเขียนของเธอ แต่ก็ไม่เห็นว่าหนังจะเอาจุดนั้นมาขยี้สักเท่าไหร่

ถึงแม้จะไม่ใช่หนังผี แต่หนังก็ยังคงพยายามที่จะเป็นหนังทริลเลอร์อยู่ โดยการสร้างบรรยากาศให้น่ากลัว และใส่ผีเข้ามา “หลอก” คนดูอยู่เป็นระยะๆ อย่างไรก็ตาม เนื่องจากไม่ใช่หนังผี เวลาผีออกมา จึงมักค่อนไปทางตลก (หรือบางทีฉันก็กลัวทรงผมนางเอกตอนนอนมากกว่ากลัวผีตอนกลางคืนเสียอีก)

เช่น ปราสาทมันสกปรกใช่มั้ย ชุดโกธิคมันก็ระย้งระย้ายาวกรุยกรายใช่มั้ย ทีนี้เวลานางเอกของเราใส่ชุดนอนกรุยกรายนั้นวิ่งหนีผี มันกลายเป็นจุดที่ตลก เพราะไม่ว่าเธอจะไปทางไหน ชายกระโปรงของเธอก็ช่วยกวาดใบไม้ให้พื้นปราสาท ณ ห้องนั้นให้สะอาดเป็นทางไป จนนี่สงสัย ตกลงเขาจะทำหนังคอเมดี้หรือกระไร

ลูซิลล์ (Jessica Chastain) พี่สาวที่แสนลึกลับของโธมัส

แน่นอน เพราะไม่ใช่หนังผีแล้วนี่ ดังนั้นสิ่งที่น่ากลัวที่สุดในหนังจึงไม่ใช่ “ผีหลอก” หากแต่เป็น “คนหลอก” แต่ปัญหาของ Crimson Peak full movie สำหรับเราคือ หนังมันยังหลอกคนดูไม่ได้ ทำให้อินยังไม่ได้เลย

เราว่าการเล่าเรื่องค่อนข้างน่าเบื่อ โดยเฉพาะไปปูเรื่องช่วงก่อนนางเอกย้ายบ้านนานไปหน่อย ประกอบกับเรื่องมันก็คาดเดาได้ไม่ยาก ยิ่งเดาได้ตั้งแต่ต้นเรื่อง มันจึงไม่มีอะไรน่าติดตามค้นหา อย่างตรงพล็อตทวิสต์ก็ไม่รู้สึกว่ามันพล็อตทวิสต์อะไรมากมาย และก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร เฉยมาก

สรุปคือเนื้อเรื่องและการเล่าเรื่องไม่สนุก… ไม่พีคเลย ค่อนไปทางผิดหวังเลยก็ว่าได้ (ไม่นับที่มันน้ำเน่าอีกส่วนหนึ่ง) โดยส่วนตัวคิดว่า หนังมันยังเซอร์เรียลได้อีก ไหนๆ จะทำขนาดนี้แล้วก็ควรจะทำให้สุดไปเลย

ความรู้สึกหลังรับชม

สิ่งที่ดีงามในหนัง และดีงามมากๆ คืองานโปรดักชั่นที่ดูแพง มีศิลปะ และเป็นงานละเอียด (ประกอบกับการแสดงของสามนักแสดงนำของเรื่อง โดยเฉพาะ Jessica Chastain ที่ “จิต” ได้ใจอย่างที่ไม่เคยเห็นที่ไหนมาก่อน

เรื่องนี้ผู้ชายเหมือนจะเป็นตัวประกอบร่อนไปร่อนมา โดยมีผู้หญิงเป็นตัวขับเคลื่อนและควบคุม ดังนั้น Tom Hiddleston ในเรื่องนี้ ถึงแม้จะหล่อ

แต่ก็ไม่ค่อยเจิดเท่ากับตอนเป็น Loki แล้วอดีตพระเอก Pacific Rim ผู้รับบทหมอหนุ่มที่ตกหลุมรักนางเอกก็ดูโง่ๆ และเป็นส่วนขาดส่วนเกินของหนังอย่างบอกไม่ถูก เหมือนจะเป็นตัวร้ายแต่ก็ไม่ใช่ เหมือนจะเป็นฮีโร่แต่ก็ไม่ใช่

เออ และนอกจากนี้ ช่วงแรกๆ ก่อนที่พระนางจะเจอกัน ช่วงที่นางเอกยังตั้งหน้าตั้งตาเขียนหนังสือ ก็เหมือนจะมีความเฟมินิสต์ให้เราชอบอยู่หรอกนะ เช่น หนังสือที่นางเอกเขียนไม่ค่อยได้รับการยอมรับเพราะเธอเป็นผู้หญิง บลาๆๆ แต่สุดท้าย พอนางเอกมีผัว ประเด็นอะไรพวกนี้ก็อันตรธานหายไปราวกับผียังไงยังงั้น

รีวิวหนัง Crimson Peak

ในส่วนตัว ผู้เขียนมองว่าหนังเรื่องนี้มีการวางแผนเอาไว้ได้อย่างลงตัวและยอดเยี่ยมเป็นอย่างมาก จนทำให้ในขณะที่กำลังรับชม

ราวกับถูกดึงดูดให้หลงใหลไปกับโลกของเทพนิยายที่สวยงาม ในขณะเดียวกันก็ซ่อนความสยองขวัญเขย่าประสาทเอาไว้ได้อย่างแนบเนียนน่าติดตาม

ดังนั้น ถ้าหากใครกำลังลังเลใจอยู่ล่ะก็ ขอแนะนำเลยว่า หนังสยองขวัญ Crimson Peak ปราสาทสีเลือด จะคุ้มค่ากับเวลาที่เสียไปในการรับชมกันอย่างแน่นอนค่ะ

สุดท้าย เรามีรีวิวหนังสยองขวัญอีกหนึ่งเรื่องที่จะมาแนะนำรีวิวให้กับทุกๆคน นั่นคือเรื่อง The Pope’s Exorcist โป๊ปปราบผี หนังสยองขวัญที่สร้างจากมากเรื่องจริงของบาทหลวงกาเบรียล อามอร์ธ

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *