รีวิวหนัง Morbius แวมไพร์ตัวร้ายใหม่ในจักรวาล Marvel

รีวิวหนัง Morbius และวันนี้แอดจะมา สปอยหนังฝรั่ง ให้กับผู้อ่านทุกคน เป็นหนึ่งใน หนังของ Marvel comics ที่ยังไม่ได้กลับไปสู่จักรวาลหลักที่อยู่ภายใต้สังกัดของ Walt Disney เพราะฉะนั้น Morbius จึงเป็นหนังที่ถูกสร้างโดยค่าย Sony ที่พยายามจะสร้างจักรวาลของสไปเดอร์แมนขึ้นมา โดยภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดย​ Daniel Espinosa และได้ จาเร็ด​ เลโต้ มารับบทเป็นคุณหมอไมเคิล มอน์เบียส ช่องทางการรับชมภาพยนต์  ดูหนังออนไลน์

Morbius

รีวิวหนัง Morbius

รีวิวหนัง Morbius เรื่องย่อ

Morbius เรื่องย่อ หลังจากที่ประสบความสำเร็จต่อเนื่องมาตั้งแต่ปีก่อน โซนี่ พิคเจอร์ส ก็ดูจะมั่นใจกับการบริหารจัดการกับลิขสิทธิ์ มาร์เวล ที่อยู่ในมือ

พร้อมกับส่งหนังเรื่องใหม่ที่เป็นหนึ่งในคาแกรเตอร์วายร้ายในจักรวาลไอ้แมงมุม Morbius ออกมาเสริมทัพความเข้มแข็ง ถึงแม้ว่าหนังจะเลื่อนฉายซ้ำ ๆ มาหลายครั้ง

แต่ผลลัพธ์ที่ออกมาในหนังเรื่องนี้นั้น ถือว่าเป็นหนังที่ดูได้สบาย ๆ แต่ยังเต็มไปด้วยข้อบกพร่องและค่อนข้างน่าเสียดาย

เรียกได้ว่ารอบปีทีผ่านมานี้เป็นปีที่ดีดจัด ๆ ทั้งของ Sony และ Columbia Pictures ก็ว่าได้ครับ เพราะที่ผ่านมาในรอบไม่ถึงครึ่งปี กลับมีหนังจากจักรวาล Spider-Man

ให้ได้ดูถึง 3 เรื่องแน่ะ ทั้งภาคต่อปีศาจวีนอมใน ‘Venom: Let There Be Carnage’ (2021) หนังปิดไตรภาคสไปเดอร์-แมนใน ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021)

ที่สร้างความกรี๊ดกร๊าดประทับใจคนดู จนกลายเป็นภาพยนตร์ที่กวาดรายได้สูงสุดในช่วงโควิด-19 ไปแล้ว ณ ตอนนี้ 

รวมทั้ง ‘Morbius’ (มอร์เบียส) เรืื่องนี้นี่แหละครับ ที่เลื่อนตารางฉายหนีพี่โควิด-19 มานานเกือบจะหนึ่งปี ในที่สุด โซนี่ก็ได้ฤกษ์เปิดตัวฮีโรวายร้ายตัวใหม่ เจ้าของฉายา

‘แวมไพร์ที่มีชีวิต’ (The Living Vampire) ซึ่งจริง ๆ แล้ว มอร์เบียสเองเคยเกือบจะได้เป็นวายร้ายในภาพยนตร์ฮีโรครึ่งมนุษย์ครึ่งแวมไพร์ ‘Blade 2’ (2002)

เวอร์ชันเฮีย ‘เวสลีย์ สไนปส์’ (Wesley Snipes) แล้วด้วยนะครับ แต่ว่าพอมีการเปลี่ยนตัวผู้กำกับกะทันหัน แวมไพร์ตนนี้ก็เลยถูกดองยาว ไม่ได้แจ้งเกิดบนแผ่นฟิล์มเสียที 

รีวิวหนัง Morbius

ประเภท: แอคชั่น / เขย่าขวัญ

ผู้กำกับ: แดเนียล เอสพิโนซ่า

นำแสดงโดย: จาเรด เลโต, แมตต์ สมิธ, เอเดรีย อาโจน่า

ความยาว: 104 นาที

กำหนดฉายในไทย: 31 มีนาคม 2022 (ในโรงภาพยนตร์) | 16 มิถุนายน 2022

การดำเนินเรื่องของหนัง

ดร.ไมเคิล มอร์เบียส’ (Jared Leto) นักวิทยาศาสตร์อัจฉริยะที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการป่วยด้วยโรคเลือดมาตั้งแต่ยังเด็ก

เขามีเป้าหมายที่จะค้นคว้าหาวิธีในการสร้างยาที่จะรักษาตัวเอง และเพื่อนร่วมโรคอย่าง ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ (Matt Smith) ให้หายจากโรคหายากนี้เสียที

โดยมีนักวิทยาศาสตร์สาวคู่รักอย่าง ‘ดร. มาร์ทีน แบนครอฟตฺ์’ (Adria Arjona) เป็นผู้ช่วยเหลือ แต่ในระหว่างที่เขากำลังทำการรักษาโดยใช้ค้างคาว

เขากลับพบว่าตัวเองกลายเป็นปีศาจแวมไพร์กระหายเลือด เขาจึงต้องทำทุกวิถีทางเพื่อควบคุมความบ้าคลั่งของตนเองให้จงได้

คือเอาจริง ๆ ก็ต้องยอมรับว่า เสียงวิจารณ์ในแง่ลบจากต่างประเทศต่อหนังเรื่องนี้มันช่างหนาหูเสียเหลือเกิน

โดยเฉพาะ 2 จุดที่นักรีวิวต่างประเทศส่วนใหญ่ที่รุมโจมตีหนังเรื่องนี้กันแบบสามัคคีก็คือ บทที่มีปัญหา กับซีจีงานหยาบ

ผู้เขียนเองแม้จะพยายามปิดหูปิดตา และพยายามคิดว่า มันก็คงอีหรอบเดียวกับ Venom นั่นแหละ คือดูเอาแอ็กชันและตลกแบบกาว ๆ พอได้

จะหวังให้ Hype ประทับใจเหมือนสไปเดอร์-แมนที่ฉายปลายปีที่แล้วคงจะยากเกินฝันไปหน่อย

รีวิวหนัง Morbius

เรื่องซีจี เอาจริงแล้วซีจีหนังเรื่องนี้ ผู้เขียนเองก็ไม่ได้รู้สึกว่ามันงานหยาบอะไรถึงขนาดนั้นนะครับ เอาจริง ๆ ในแง่โปรดักชันโดยรวม ๆ ทั้งการถ่ายภาพ มุมกล้อง

แม้ผู้เขียนเองจะแอบรำคาญออราม่วง ๆ ตอนที่มอร์เบียสกำลังแปลงกาย (ที่ผู้กำกับบอกว่าได้แรงบันดาลใจมาจากโปเกมอน!) อยู่บ้างก็ตาม คือมันดูลายตาน่ะครับ

ยิ่งออราออกมาเยอะยิ่งลายตาหนักเลย แต่ซีจี โปรดักชัน และฉากแอ็กชันโดยรวม ก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานหนังฮีโรยุคนี้ ไม่ได้มีจุดไหนงานหยาบจนถึงขั้นทุเรศทุรัง

 ส่วนในแง่ของพล็อตและบท เอาจริง ๆ ผู้เขียนออกจะชอบตัวพล็อตของหนังนะครับ เพราะตัวพล็อตสามารถดึงเอาแกนจากต้นฉบับคอมิก ที่วางให้มอร์เบียส

ไม่ได้เป็นฮีโรที่ต้องออกไปต่อสู้ปกป้องโลก เน้นแอ็กชันแพรวพราวเหมือนฮีโรตัวอื่น ๆ แต่เป็นหนังฮีโรที่เน้นดราม่าสู้ชีวิต (แต่ชีวิตสู้กลับ)

ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและจิตใจด้านมืดของตัวเอง ที่สามารถเปลี่ยนจากคุณหมอผู้อ่อนโยน กลายเป็นปีศาจสุดน่ากลัวได้ทุก

ส่วนในแง่ของพล็อตและบท เอาจริง ๆ ผู้เขียนออกจะชอบตัวพล็อตของหนังนะครับ เพราะตัวพล็อตสามารถดึงเอาแกนจากต้นฉบับคอมิก ที่วางให้มอร์เบียส

ไม่ได้เป็นฮีโรที่ต้องออกไปต่อสู้ปกป้องโลก เน้นแอ็กชันแพรวพราวเหมือนฮีโรตัวอื่น ๆ แต่เป็นหนังฮีโรที่เน้นดราม่าสู้ชีวิต (แต่ชีวิตสู้กลับ)

ต้องต่อสู้กับโรคร้ายและจิตใจด้านมืดของตัวเอง ที่สามารถเปลี่ยนจากคุณหมอผู้อ่อนโยน กลายเป็นปีศาจสุดน่ากลัวได้ทุกเมื่อ

เป็นพล็อตการต่อสู้เล็ก ๆ ที่ถือว่าโอเคเลยแหละ แต่สุดท้ายตัวบทเองนี่แหละครับที่มีปัญหาอย่างแรง อย่างที่สื่อต่างประเทศเขารีวิวกันนั่นแหละ

พล็อตเรื่อง

แม้การเดินเรื่องของพล็อตจะพยายามเดินเรื่องด้วยรูปแบบหนังสยองขวัญ ที่ต้องชมว่าทำได้ออกมาสยองขวัญจริง ๆ แต่ปัญหาน่าหนักใจเกี่ยวกับบทก็คือ

มันเชยและทื่อสุด ๆ ครับ แม้ว่าพล็อตและสตอรีของตัวละครจะน่าสนใจ แต่การดำเนินเรื่องกลับเชยราวกับเป็นหนังฮีโรเมื่อ 20 ปีที่แล้วอย่างไรก็อย่างนั้นเลย Morbius full movie

คือแทบจะเดินเรื่องเป็นเส้นตรง และใช้สูตร “ต้นกำเนิดฮีโร” (มีปัญหาชีวิต/ค้นพบพลังโดยบังเอิญ/ควบคุมพลังไม่ค่อยได้/ต้องต่อสู้เหล่าร้าย) กันแบบโต้ง ๆ เลยก็ว่าได้

ซึ่งมันทำให้ตัวหนังเล่าเรื่องได้ออกมาทั้งเชย ทื่อ ไร้เสน่ห์ เดาเรื่องง่ายตั้งแต่องก์แรก และไม่มีความ Hype ใด ๆ เหมือนอย่างที่หนังฮีโรยุคนี้มีกัน แถมมุก Easter Egg ที่ใส่มาก็ดันไม่ค่อยขำซะงั้น

ความเลวร้ายอีกจุดของบทก็คือ การไม่ได้ให้น้ำหนักกับเรื่องราวเอาไว้อย่างเพียงพอจริง ๆ มันก็เลยกลายเป็นว่า การดำเนินเรื่องดูจะไม่ได้ทิ้งปมประเด็นอะไรไว้อย่างชัดเจนนัก

จะเล่าเรื่องการต่อสู้กับปีศาจภายในใจตัวเอง หรือเรื่องรัก ๆ ใคร่ ๆ ของมอร์เบียส มาร์ทีน และไมโล ก็ดูจะไม่ลงลึกเท่าไหร่

การปูเรื่องพลังพิเศษของมอร์เบียสก็ยังไม่รอบด้านดี (อยู่ดี ๆ ก็มีพลังแปลก ๆ ที่ไม่รู้จักโผล่มาท้ายเรื่อง)

ฮีโร่วายร้าย

ตรรกะในการเลือกสังหารคนของมอร์เบียสก็ดูงง ๆ การใส่ฉากที่ไม่รู้จะใส่มาทำไม แถมเป้าหมายและแรงจูงใจของตัวละครก็ดันเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังเท้าเมื่อเข้าช่วงไคลแม็กซ์

ในองก์สุดท้ายไปเสียอีก กลายเป็นว่าตัวหนังเล่าอะไรได้ไม่สุดสักอย่าง และตัดจบแบบดื้อ ๆ เลย จนพาให้งงว่า ตกลงพี่บ่าวจะเอาอะไรนิ

แถมยังพาให้แกนหลักของหนังที่อุตส่าห์วางไว้อย่างดี พังพินาศยับเยินอีกต่างหาก

ถ้าจะมีจุดให้ชื่นชมอยู่บ้าง ก็ต้องชื่นชมนักแสดงหลักทั้ง ส่วน ‘แมตต์ สมิธ’ (Matt Smith) ผู้รับบท ‘ไมโล / ลูเซียส คราวน์’ ก็ถือว่าแสดงได้เข้ากับคาแรกเตอร์แบดบอยดีไม่หยอก

และ ‘จาเรต เลโต’ (Jared Leto) เจ้าของบท ‘มอร์เบียส’ นี่แหละครับ ที่รับหน้าแบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ได้แบบหลังแอ่น

ด้วยคาแรกเตอร์ที่เข้าถึงมาก ๆ ทั้งตอนเป็นคุณหมอผู้อ่อนโยน และเป็นแวมไพร์ได้อย่างน่ากลัว ที่พอจะพาให้หนังยังพอดูได้แบบเพลิน ๆ

ซึ่งการแบกแบบหลังแทบหัก ทั้ง ๆ ที่บทป่วยขนาดนี้ ก็แอบสงสารพี่จาเร็ตเหมือนกันนะครับ เป็น ‘Joker’ ในจักรวาล DC (‘Suicide Squad’ (2016))

ก็ไม่ได้แจ้งเกิด (จนต้องกลายมาเป็นภาพประกอบคำคม) พอข้ามมาอยู่ Marvel กะว่าจะมาเปิดตัวแบบเต็ม ๆ ก็กลับโดนบททำร้ายซะเละเทะ แพ้ทางหนังฮีโรแท้ ๆ เลยพ่อคุณ (555)

โดยสรุป แม้หนังจะมีคาแรกเตอร์และพล็อตที่น่าสนใจ แต่สุดท้ายตัวบทนี่แหละที่ทำให้ตัวหนังทั้งเชยและขาดเสน่ห์ จนดูเหมือนว่าจะไม่สามารถสร้างเอกลักษณ์

และวางที่ทางของตัวเองในจักรวาลสไปเดอร์-แมนได้สำเร็จ บทป่วย ๆ ทำให้หนังกลายเป็นเพียงหนังซูเปอร์ฮีโรแบบ Old School ที่ถอดคาแรกเตอร์จากคอมิก

แล้วก็เล่าเรื่องตามสูตรแบบเด๊ะ ๆ โดยที่ไม่ได้เพิ่มมิติให้กับตัวละคร สอดแทรกประเด็นซีเรียสเหมือนหนังฮีโรยุคปัจจุบัน หรือเพิ่มเสน่ห์เฉพาะตัวให้มีความน่าจดจำได้สักเท่าไหร่

รีวิวหนัง Morbius บทสรุป

ปัญหาของหนังจริงๆแล้ว คล้ายกับหนังเรื่อง Venom ภาคแรกที่พยายามจะบอกเล่าเรื่องราวของ “ตัวร้าย” ที่ไม่ได้เลวอย่างที่คนดูเคยรู้จักกัน

ความโหดร้ายป่าเถื่อนของตัวละครเหล่านี้ จริงๆแล้วพวกเขาพยายามต่อสู้กับพลังอำนาจที่ตัวเองไม่สามารถควบคุมได้ จนท้ายที่สุดตัวละครเหล่านี้ก็มีเหตุจำเป็นที่จะต้อง “สูญเสีย” อะไรบางอย่าง เพื่อจะเรียนรู้ถึงอำนาจที่ตัวเองมีในตอนท้าย

สิ่งที่ Venom ภาคแรกมีแต่ Morbius ไม่มีก็คืออารมณ์ขันแบบร้ายๆ การปะทะอารมณ์กันระหว่างเอ็ดดี้และเวน่อมที่เหมือนคนบ้าสองคนอยู่ด้วยกัน

ทำให้เรื่องราวระหว่างทางที่ไม่มีอะไรแปลกใหม่ กลับดูเพลินและสนุก ทว่าสิ่งเหล่านี้ก็ไม่อาจจะอุดช่องโหว่ของความจืดชืดในหนังภาคถัดมาอย่าง Venom 2

ซึ่งทำให้ผู้ชมได้เห็นอย่างชัดเจนเลยว่า เสน่ห์และความโดดเด่นของคาแรกเตอร์นั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้บทที่วนอยู่ในอ่างสนุกขึ้นได้

น่าเสียดายที่หนังเรื่องนี้นั้นไม่มีกระทั่งอารมณ์ขัน กระทั่งฉากแอ็คชั่นที่คนดูเฝ้ารอก็มีเพียงน้อยนิด แถมฉากใหญ่ไคลแม็กซ์นั้นก็ไม่ได้ถือว่าคุ้มค่ากับการรอคอย เมื่อคนดูต้องอดทนรอห้วงเวลาดังกล่าวมาเกือบ 1 ชั่วโมงครึ่งแล้วก็ตาม

อย่างไรก็ตามแม้หนังจะพยายามนำเสนอประเด็นเพื่อนรักสองคนที่มองโลกในมุมที่แตกต่างกัน ถือได้ว่าเป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก แต่น่าเสียดาย (อีกแล้ว)

ที่เมื่อตัวละครเพื่อนรักอย่างไมโล (แมทท์ สมิธ) กลายไปเป็นตัวร้าย เขาก็เปลี่ยนไปเหลือแค่เพียงตัวละครวายร้ายหัวกลวงที่มุ่งเน้นแต่จะใช้พลังที่ตัวเองมี

เล่นสนุกทำร้ายคนอื่นไปทั่ว จนทำให้มอร์เบียสจำเป็นต้องหยุดเพื่อนรักคนนี้ ก่อนที่คนอื่นในสังคมจะเกิดอันตราย

รีวิวหนัง Morbius ความรู้สึกหลังชม

ซึ่งเอาเข้าจริง ถ้าจะดูหนังเรื่องนี้ในฐานะหนังแอ็กชันฮีโรเพลิน ๆ ตะลุยดะไปเรื่อย ๆ แบบไม่ต้องคาดหวังอะไรมาก ก็ถือว่าพอจะถูไถได้อยู่ล่ะนะครับ

แต่ถ้าคุณผู้อ่านเป็นคนที่อินกับความเป็น Marvel และอยากดูเพื่อเชื่อมจักรวาลสไปเดอร์-แมน ซึ่งอันที่จริงมันก็พอจะเชื่อมได้ (ด้วย End Credits ตัวที่ 2) นั่นแหละครับ

แต่ถ้าจะดูเพื่อความ Hype ว้าวซ่าน้ำตาแตก ชนิดที่ว่าเดินออกมาจากโรงแล้วคันปากอยากสปอยล์ แนะนำให้ไปดู ‘Spider-Man : No Way Home’ (2021) หรือไม่ก็ข้ามจักรวาลไปดู ‘The Batman’ (2022) อีกซักรอบน่าจะดีกว่าครับ

ปล. มี End-Credits ท้ายเรื่อง 2 ตัวนะครับ ส่วนตัวผู้เขียนคิดว่าจะรอหรือไม่รอดูก็ได้ ตัวแรกไม่ค่อยมีอะไร แต่ตัวที่ 2 เนี่ย Sony แอบขายของแบบโต้ง ๆ ไปนิดนึงนะ อุตส่าห์เชิญ (…….) มา เพียงเพื่อจะมาบอกว่าหนังเรื่องนี้คือ DLC จักรวาลสไปเดอร์-แมนแค่นี้เนี่ยนะ

นี่จึงนับว่าเป็นก้าวที่พลาดมหันต์ครั้งสำคัญของ โซนี่ พิคเจอร์ส ที่ทำให้หนังที่มีแฟน ๆ เฝ้ารอคอยมานาน กลับต้องมาเจอกับความผิดหวังในความไร้เสน่ห์อย่างสิ้นเชิง

เสียดายองค์ประกอบการแสดงของนักแสดงที่ทำออกมาได้ดี แต่เพราะองค์ประกอบอื่น ๆ โดยรวมไม่สามารถผลักดันอารมณ์ร่วมของคนดูได้เลย จึงทำให้ Morbius กลายเป็นหนังแนวฮีโร่ที่ค่อนข้างน่าผิดหวังโดยรวม

สุดท้ายแอดมินอยากจะมาแนะนำสปอยภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมชื่อเรื่อง รีวิวซีรีส์ THE LAST OF US

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *