รีวิวซีรีส์ The Last of Us สวัสดีค่ะวันนี้แอดจะมา สปอยหนังฝรั่ง ให้กับผู้อ่านทุกคนได้อ่านไปพร้อมๆกัน ซึ่งเรื่องนี้เป็นซีรีส์ที่มาจากเกมส์ และหลังปล่อยออกมาให้รับชมกันไป 2 ตอน
สำหรับซีรีส์จากเกมดังก็สามารถโกยคะแนนจากผู้ชมทั่วโลกไปได้อย่างล้นหลาม โดยเฉพาะในตอนล่าสุดอย่าง Infected ที่สามารถทำคะแนนบนเว็บไซต์ IMDb
ได้มากถึง 9.9/10 ซึ่งนับว่าเป็นคะแนนที่สูงมาก ๆ เลยทีเดียวสำหรับซีรีส์ที่สร้างจากเกม ถือว่าลบล้างอาถรรพ์การดัดแปลงเกมมาเป็นซีรีส์ได้อย่างขาดลอยช่องทางการรับชม ดูหนังออนไลน์
THE LAST OF US เรื่องราวที่นักเล่นเกมหลงรัก
รีวิวซีรีส์ The Last of Us เรื่องย่อ
เดอะลาสต์ออฟอัส เรื่องย่อ เปิดตัวเป็นที่เรียบร้อยกับซีรีส์คนแสดง ‘เดอะลาสต์ออฟอัส’ ภาพยนตร์ที่สร้างมาจากเกมในชื่อเดียวกัน ที่ตั้งแต่มีการประกาศสร้างซีรีส์นี้ออกมาเราก็ได้เห็นข่าวความคืบหน้าการคัดนักแสดง เนื้อหาเรื่องราวภาพหลุดที่มีออกมาอย่างมามากมาย
จนตัวอย่างแบบเป็นทางการเปิดเผยก็ทำเอาแฟนเกมต่างคาดหวังในสิ่งที่ซีรีส์ต้องการสื่อออกมา ซึ่งคนที่เป็นแฟนเกมก็คงไม่ต้องพูดอะไรกันมากเพราะคงต้องรอดูกันอยู่แล้ว ส่วนใครที่ไม่เคยเล่นเกมไม่รู้จักซีรีส์นี้มาก่อน
เราก็ขอทำการป้ายยาคุณเสียแต่ตอนนี้เลยว่าซีรีส์เรื่องนี้น่าดูขนาดไหน กับเนื้อหาต่าง ๆ ที่เราเอามาบอกคุณเพื่อให้คุณทำความรู้จักซีรีส์นี้ให้มากขึ้นก่อนไปดู
ที่เมื่อคุณอ่านจบคุณอาจจะอยากดูมากขึ้นก็ได้ ส่วนคนที่เล่นเกมมาแล้วก็จะได้รับรู้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับซีรีส์มากขึ้นแน่นอน จะมีข้อมูลอะไรที่น่าสนใจบ้างนั้นมาดูไปพร้อมกันเลย
เริ่มต้นเรื่องแรกเรามาทำความรู้จักกับซีรีส์เรื่องนี้กัน จุดเริ่มต้นของซีรีส์ที่ถูกวางจำหน่ายในปี 2013 บนเครื่อง ‘PlayStation 3’ ที่ในตอนนั้นตัวเกมได้ผลตอบรับในแง่บวกจากแฟนเกมเป็นอย่างมาก
ม่ว่าจะเป็นระบบการเล่นที่เป็นเกมแอ็กชันเดินหน้าผ่านไปเรื่อย ๆ กับการเดินทางในโลกที่ล่มสลาย ซึ่งเราไม่ได้เจอแค่เหล่าซอมบี้เท่านั้นแต่ยังมีมนุษย์ด้วยกันที่คอยฆ่าเพื่อแย่งชิงปล้นสิ่งของจากเรา แต่สิ่งที่เป็นการเชิดหน้าชูตามากที่สุดคือเนื้อเรื่องของเกม
ที่แม้จะมีเรื่องราวง่าย ๆ กับการเดินทางของชายผู้สูญเสียลูกสาว กับเด็กหญิงที่ขาดพ่อแม่ที่ต่างมาเติมเต็มกันและกัน แต่สิ่งที่อยู่ระหว่างทางที่ทั้งสองต้องเจอคือสิ่งที่ดีงามไปจนถึงความโหดร้าย ที่สร้างความประทับใจและสิ้นหวังให้กับคนเล่นเกม
จนทำให้ตัวเกม ถูกพูดถึงและเอามาทำใหม่ให้เราได้แล่นตลอด อย่างล่าสุดเกม ‘เดอะลาสต์ออฟอัส’ ภาคแรกก็เอามาทำใหม่ทั้งหมดเปลี่ยนกราฟิกให้ดูสวยสมจริงบน ‘PlayStation 5’ หรือถ้าใครมีเครื่อง ‘PlayStation 4’ ก็มีให้เราได้เล่น
ที่เมื่อดูจากตัวอย่างและตอนแรกที่ฉายออกมาก็พอจะเดาได้ว่าเรื่องราวในซีรีส์ต้องตรงกับเกมมาก ๆ ดังนั้นถ้าคุณอยากรู้เรื่องราวในก่อนซีรีส์ก็ไปหาเกมมาเล่นก่อนได้เพราะให้อารมณ์ไม่ต่างกันเลยทีเดียว
ซีรีส์จากเกมที่ลบล้างทุกคำสาป
ไม่ว่าคุณจะเคยเล่นเกม ดูแคสต์เกม หรือไม่แม้แต่จะรู้จักเกมนี้มาก่อน ก็ไม่ต้องกังวลว่าจะดูซีรีส์ไม่รู้เรื่องหรือถูกลดทอนอรรถรสในการรับชม
เพราะตัวซีรีส์เองได้ “นีล ดรัคแมน” ผู้สร้างเกมมาควบคุมเนื้อหาให้โดยเฉพาะ และได้ตัว “เครก มาซิน” มานั่งแท่นผู้กำกับ ทำให้ซีรีส์ฉบับคนแสดงถูกถ่ายทอดออกมาอย่างสมบูรณ์แบบจากตัวเกมฉากต่อฉากก็ว่าได้
การันตีได้จากคะแนนเปิดตัวจากฝั่งนักวิจารณ์บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes 100 คะแนนเต็ม แม้ตอนแรกของซีรีส์อาจทำให้แฟนเกมกังขาเกี่ยวกับนักแสดงที่มารับบท
“ซาร่าห์ มิลเลอร์” ว่าไม่ตรงกับต้นฉบับในเกม แต่ด้วยทักษะการแสดงก็ทำให้หลายคนยอมรับว่าซีรีส์เรื่องนี้เปิดตัวมาได้อย่างไรที่ติจริง ๆ
ก่อนอื่นขอบอกก่อนนะครับว่าทาง HBO อนุญาตให้ทาง Beartai Buzz รีวิวเฉพาะตอนแรกที่จะออกฉายในวันจันทร์ที่ 16 มกราคม 2566 เท่าน้้น ดังนั้นความลับหลายอย่างของซีรีส์
เราจึงขอสงวนไว้เพื่อความบันเทิงของผู้ชมทุกท่าน ซึ่งต้องยอมรับว่าในกระบวนการทำซีรีส์ ตอนนำร่องหรือ ไพลอต (Pilot) ถือเป็นตอนที่วัดใจคนดูจริง ๆ
เพราะการที่ซีรีส์จะดึงคนดูได้หรือไม่ตอนไพลอตคือการวางเดิมพันทั้งโทนเรื่อง ปูพื้นตัวละคร ไปจนถึงจังหวะการเล่าเรื่องว่าคลิกกับคนดูหรือไม่
สำหรับตอนไพลอตของซีรีย์เรื่องนี้นั้นต้องบอกว่าทำได้ไม่น่าผิดหวังเลยครับ แม้จะเล่นโทนดรามาเป็นหลักกว่า 70% แต่พอถึงฉากระทึกขวัญหลายซีนที่ซีรีส์ยกมาจากเกมก็ทำได้ดีมาก
เรียกได้ว่านึกถึงฉากไหนตอนเล่นเกมฉากนั้นปรากฎขึ้นมาเลยทั้งฉากเมืองหลังเหตุโลกาวินาศ ไปจนถึงซีนที่โจเอลต้องเผชิญหน้ากับซอมบี้เชื้อราในที่มืดที่ยังอุตส่าห์เอาการจัดแสงแบบไฟฉายส่องไปที่ซับเจกต์แบบเดียวกับเกมมาใช้ได้อย่างกลมกลืน
ฉากชวนเขย่าขวัญ
สำหรับฉากเปิดตัวในแต่ละตอนของซีรีส์ถือเป็นส่วนเติมเต็มที่ทำให้ซีรีส์ดูมีรสชาติมากขึ้น เพราะหากจะทำการคัดลอกเนื้อหาจากในเกมมาใส่ในซีรีส์ทั้งดุ้นก็คงจะจืดชืด เหมือนชิมอาหารจานเดิมที่อร่อยแต่ไม่ได้แตกต่างจากจานก่อนหน้า
จากข้อเท็จจริงที่ฉากอารัมภบทได้พูดถึงเชื้อราซอมบี้ แม้เป็นเพียงการเปิดเผยข้อมูลทางวิทยาศาสตร์ แต่เมื่อผ่านการคาดคะเน การตั้งข้อสันนิษฐาน ทำให้ผู้ชมได้ลองพิจารณาตามข้อมูลความจริงที่มีอยู่
แม้จะน้อยมากหรือแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่โอกาสที่เชื้อราซอมบี้จะสามารถแพร่เชื้อในร่างกายมนุษย์ได้ก็เป็นเรื่องที่น่าเก็บไปขบคิดไม่น้อย เพียงเท่านี้ก็ถือเป็นการเกริ่นเรื่องที่ชวนติดตามและสร้างความพรั่นพรึ่งก่อนเข้าสู่เนื้อหาหลักของเรื่องได้อย่างดี
ยังไม่รวมถึงเพลงประกอบที่เป็นจุดที่โดดเด่นมากของเกมอย่างเพลง ‘Alone and Forsaken’ ของ แฮงค์ วิลเลียมส์ (Hank Williams) และบรรดาเพลงคันทรีที่ถูกเอามาร้อยเรียงในฉากจำมากมายจากเกมก็ยิ่งเสริมส่งให้ผู้ชมเหล่าเกมเมอร์ฟินกันกระจายเลยทีเดียว
ซึ่งถือเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีมาก ๆ และน่าจะคาดหวังได้เลยว่าตอนต่อจากนี้ในซีรีส์จะยังคงโทนการเล่าเรื่องที่เข้มข้นผสมผสานกับการคงจิตวิญญาณจากเกมต้นฉบับไว้ไม่เสียชื่อผู้สร้างอย่าง
เคร็ก เมซิน (Craig Mazin) โชว์รันเนอร์ ‘Chernobyl’ ซีรีส์สุดยอดเยี่ยมของ HBO ที่ได้มาร่วมงานกับ นีล ดรัคแมนน์ (Neil Druckmann) ผู้สร้างเกมต้นฉบับจากนอห์ตีด็อก
อีกจุดที่จะไม่พูดถึงไม่ได้คงหนีไม่พ้นการแสดงของทั้งเปโดร ปาสคาล กับ เบลลา แรมซีย์ ที่บอกได้เลยว่าแม้แคสต์ด้านรูปลักษณ์ภายนอกจะห่างไกลจากเกมมาก แต่ด้วยความเป็นมืออาชีพที่ปาสคาลสามารถถ่ายทอดความแหลกสลายของตัวละครโจเอล
ในขณะที่แรมซีย์ก็ถ่ายทอดความแสบและความแกร่งของเอลลี ได้อย่างหมดจด จนความ ‘ไม่เหมือนในเกม’ ไม่ใช่อุปสรรคอีกต่อไปเพราะการแสดงของทั้งคู่ดีพอที่จะทำให้ผู้ชมติดตามและลุ้นกับชะตากรรมของพวกเขาได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศที่ไม่น่าไว้วางใจ
เป็นธรรมเนียมปฏิบัติสำหรับคอนเทนต์สยองขวัญที่ต้องมีฉากตุ้งแช่ไว้เขย่าหัวใจผู้ชม ทว่าในซีรีส์เรื่องนี้กลับใช้ความเงียบขับเคลื่อนให้ทุกการเคลื่อนไหวของตัวละครแวดล้อมไปด้วยความไม่น่าไว้วางใจ โดยไม่จำเป็นต้องใช้ดนตรีสร้างอารมณ์เลยด้วยซ้ำ ดูหนัง
แม้ไม่มีอะไรวับ ๆ แวม ๆ แต่การนำเสนอฉากแต่ละฉากล้วนทำให้ผู้ชมหายใจไม่ทั่วท้อง แม้แต่คนที่ผ่านมือจากเกมมาก่อนยังคงได้รับรสชาติความหวาดระแวงที่สดใหม่จากตัวซีรีส์ เพราะยิ่งรับรู้เหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า ก็ยิ่งกระตุ้นประสบการณ์ความกลัวที่เคยสัมผัสจากในเกมมาก่อนได้มากขึ้น
นอกจากนี้ อีกสิ่งหนึ่งหนึ่งที่ทำให้บรรยากาศในเรื่องน่าขนลุกกว่าฉากตุ้งแช่คือ “ความเงียบ” เพราะเมื่อความเงียบแทรกซึมอยู่ทุกอณูของการดำเนินเรื่อง
ยิ่งทำให้ผู้ชมรับรู้ได้ถึงความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นอย่างทันทีทันใด แม้สุดท้ายแล้วความเงียบเหล่านั้นจะไม่ส่งผลอะไรก็ตาม แต่สำหรับผู้ชมนั่นคือสิ่งที่ทำให้ลุ้นจนตัวเกร็งจนแทบหยุดหายใจก็ว่าได้
ในตอนนั้นเกมประสบความสำเร็จอย่างมากในการสร้างโลกที่ “จริง” มากๆ ออกมา แสดงให้เห็นทั้งด้านดีและด้านมืดของมนุษย์ ตัวละครแต่ละตัวมีความซับซ้อนในตัวเอง ไม่มีใครที่เป็นคนดีหรือชั่วแบบ 100%
จุดเด่นอีกเรื่องคือพัฒนาการด้านความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครหลัก ทั้ง โจเอล รับบทโดย เปโดร ปาสคาล (Pedro Pascal) และ เอลลี่ รับบทโดย เบลลา แรมซีย์ (Bella Ramsey) ที่ตอนแรกดูจะไม่ค่อยถูกกัน แต่ต้องจับพลัดจับผลูมาเดินทางร่วมกัน
หลังจากที่ดูจบทั้ง 9 ตอนแล้ว ซีรี่ส์สามารถนำพาข้อดีจากเวอร์ชั่นเกมมาได้แทบทั้งหมด ถ่ายทอดฉากสำคัญต่างๆ ได้ครบถ้วน อีกทั้งยังมีการเสริมเนื้อหาบางส่วนเข้าไปนอกเหนือจากเกม ซึ่งทำให้เราเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ได้มากขึ้น
การแสดงของ 2 นักแสดงหลักก็ทำได้อย่างยอดเยี่ยม ทั้ง เปโดร ปาสคาล และ เบลลา แรมซีย์ ต่างก็ถ่ายทอดความเป็นโจเอลและเอลลี่ในแบบตนเองได้อย่างไร้ที่ติ
รีวิวซีรีส์ The Last of Us บทสรุป
สำหรับการคัดเลือก 2 นักแสดงหลักในซีรีส์แม้แฟนเกมบางกลุ่มจะไม่ค่อยพอใจที่โจลดูไม่ยับเยินอย่างที่ควรจะเป็น และเอลลีก็ดูไม่ก๋ากั่นเท่าในเกม ทว่าหลังได้รับชมการแสดงของ เปโดร ปาสคาล และ เบลล่า แรมซีย์ ก็แทบจะต้องถอนคำพูดกันเลยทีเดียว
เพราะเปโดรในบทโจลนั้นมีสภาพที่สมเหตุสมผลกับชายวัยกลางคนที่ต้องเอาชีวิตรอดในโลกหลังเกิดหายนะ และเอลลีก็ปากแจ๋วแสบซ่าไม่แพ้คาแรกเตอร์ในเกม ถึงขนาดที่ฉากนับเลข “1-พ่อ_ตาย” กลายเป็นที่โจษจันในโลกออนไลน์อย่างรวดเร็ว
แม้แต่บทของซาร่าห์ลูกสาวโจลก็ยังได้รับการยอมรับในภายหลัง แม้จะแคสต์นักแสดงมาขัดกับคาแรกเตอร์ในเกมอย่างชัดเจนก็ตาม แต่ทุกองค์ประกอบล้วนมีเหตุและผล ซึ่งตัวซีรีส์สามารถสร้างสมดุลไว้ได้อย่างยอดเยี่ยม โดยอาจกล่าวได้ว่าเป็นการเห็นภาพจำเดิม ๆ ในประสบการณ์ที่ไม่ซ้ำเดิมแม้แต่วินาทีเดียว
ต้องบอกว่าส่วนที่ยากที่สุดในการเล่าเรื่องซีรี่ส์คือการทำให้คนดูรู้สึกถึงความสัมพันธ์ของโจเอลและเอลลี่ ต่อให้ผู้สร้างจะทุ่มทุนมหาศาลไปกับฉากต่างๆ มากเท่าไหร่
แต่ภาพรวมจะออกมาดีไม่ได้เลย หากคนดูไม่รู้สึกถึงความสัมพันธ์ของ 2 ตัวละครนี้
ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกใจนัก ที่หลังฉายตอนสุดท้ายซีรี่ส์แล้วยังคงได้รับคะแนนรีวิวเฉลี่ยจากเหล่านักวิจารณ์สูงถึง 96% บนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes และคะแนน 9/10 บนเว็บไซต์ IMDb
รีวิวซีรีส์ The Last of Us ความรู้สึกหลังชม
เดอะลาสต์ออฟอัส เป็นซีรี่ส์ที่ได้เสียงตอบรับในแง่บวกอย่างมากตั้งแต่ EP แรกที่ออกฉาย ส่วนสำคัญคือการการเพิ่มบทของซาร่าห์ (ลูกสาวโจเอล) มากขึ้นจากต้นฉบับ และค่อยๆ บอกใบ้ถึงหายนะที่กำลังจะเกิดขึ้น ซึ่งจะแตกต่างจากในเกม ที่ทุกอย่างเกิดขึ้นแบบปุบปับ อยู่ดีๆ ก็มีผู้ติดเชื้อไล่กัดคนตามท้องถนนเลย
เช่นเดียวกับเรื่องความรักของตัวละครชายรักชายอย่างบิลล์และแฟรงค์ ใน EP ที่ 3 ของซีรี่ส์ ที่เอาตัวประกอบในเกม ซึ่งไม่ได้มีบทเยอะเท่าไหร่มาเล่าเพิ่ม แสดงให้เห็นถึงความรักความอบอุ่นของคน 2 คน ภายหลังจากที่โลกล่มสลายไปแล้ว และเป็นการทำโดยที่ยังคงความเคารพต้นฉบับเดิมเอาไว้ได้
สำหรับส่วนเสริมที่ดีที่สุด คงต้องยกให้เป็น EP 9 ในฉากที่แม่ของเอลลี่ถูกผู้ติดเชื้อกัดในระหว่างคลอดลูก ก่อนที่เธอจะตัดสายสะดือออก เป็นการเฉลยที่มาที่ไป ว่าทำไมเอลลี่ถึงมีภูมิคุ้มกันจากเชื้อรา โดยส่วนนี้แม้แต่ผู้ที่เล่นเกมมาแล้วก็ยังไม่เคยทราบมาก่อน
อีกทั้งยังอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างมาร์ลีน ผู้นำกลุ่ม FireFlies กับเอลลี่ ซึ่งเป็นลูกสาวเพื่อนสนิท ฉายภาพว่าเธอต้องลำบากใจแค่ไหน ที่ต้องยอมอนุญาตให้แพทย์ผ่าสมองเอลลี่ในฉากจบของเรื่อง
การเล่าเรื่องเสริมนี้เองที่เป็นจุดเด่นมากๆ ของซีรี่ส์เรื่องนี้ที่แม้จะยึดโครงเรื่องมาจากเกมแบบเป๊ะๆ แต่ก็มีการขยายความในเรื่องต่างๆ เข้ามา ทำให้เนื้อเรื่องที่ดีอยู่แล้ว ดูสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น
โดยรวมแล้วการลดทอน/เพิ่มเติมเนื้อหาต่างๆ ในซีรี่ส์ ถือว่าทำออกมาได้ดี แม้จะรู้สึกเสียดายเล็กน้อย ตรงที่มีการตัดฉากแอคชั่นออกไปพอสมควรก็ตาม
โดยเฉพาะช่วงหลังจาก EP 5 ที่ฝูงผู้ติดเชื้อโผล่ขึ้นมาจากใต้พื้นดินแล้ว เราแทบจะไม่ได้เห็นความน่ากลัวของผู้ติดเชื้อในเรื่องอีกเลย
ส่วนสุดท้ายที่ไม่พูดถึงไม่ได้ คือความสัมพันธ์ระหว่างโจเอลและเอลลี ที่เป็นแกนหลักที่สำคัญมากๆ ของซีรี่ส์
การที่โจเอลต้องสูญเสียลูกสาวไป ทำให้เขาไม่อยากมีชีวิตอยู่อีกต่อไป จนถึงขั้นพยายามฆ่าตัวตาย แต่ก็ทำไม่สำเร็จ ซึ่งนับตั้งแต่นั้นมา โจเอลก็ยังไม่สามารถ Move on จากเรื่องนั้นได้
ก็จบกันไปแล้วกับการป้ายยาให้คนที่กำลังคิดตัดสินใจว่าจะดูซีรีส์เรื่องนี้ว่าจะดูดีไหมสนุกรึเปล่าได้ตัดสินใจง่ายขึ้น ยิ่งถ้าคุณเป็นแฟนภาพยนตร์ซอมบี้บอกเลยต้องไม่พลาด หรือถ้าคุณชอบภาพยนตร์ที่ดูแล้วได้หลายอารมณ์ความรู้สึก สุดท้ายแอดจะมาแนะนำสปอยหนังฝรั่งของ Marvel comics ชื่อเรื่อง รีวิวหนัง Morbius