รีวิว Notre Dame on Fire

รีวิว Notre Dame on Fire

รีวิว Notre Dame on Fire เรื่องย่อ

และนี่คือเหตุอัคคีภัยที่สร้างบาดแผลให้กับชาวฝรั่งเศสไปทั้งชาติ อีกทั้งยังสร้างความสะเทือนใจให้กับคนทั้งโลก กับเหตุการณ์จริงที่ถูกหยิบมาสร้าง เป็นหนังฟอร์มดีจากฝรั่งเศส นี่คือ ” Notre-Dame On Fire ภารกิจกล้า ฝ่าไฟนอเทรอดาม ” หนังที่พาคนดูเข้าไปสำรวจกับนาทีหายนะกับมุมมองการกอบกู้สถานการณ์ของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงผู้กล้าที่ต้องแข่งขันกับเวลาที่กดดันเพิ่มมากถึงทุกนาทีดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี

Notre-Dame On Fire หยิบเอาเหตุการณ์สุดช็อกโลกเมื่อเดือนเมษายน 2019 กับความเสียหายครั้งใหญ่สุดที่เกิดขึ้นเพียงชั่วข้ามคืนจากเหตุไฟไหม้มหาวิหารนอเทรอดามกลางกรุงปารีส มาถ่ายทอดบนจอภาพยนตร์เป็นครั้งแรก โดยความหวังเดียวที่จะกอบกู้สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และมรดกโลกที่มีอายุกว่า 850 ปี แห่งนี้ อยู่ที่กลุ่มนักผจญเพลิง ผู้ต้องบุกฝ่ากองเพลิงสุดอันตรายเพื่อที่จะหาทางหยุดยั้งมหันตภัย ดังกล่าวไว้ให้ได้ก่อนที่ทุกอย่างจะสูญสลายไปรีวิวหนังน่าดู

 

นี่คือผลงานของผู้กำกับชื่อดังชาวฝรั่งเศส ” ฌอง-ชาคส์ อองโนด์ ” ที่เราคุ้นเคยงานเขากันดีจากหนังดัง ๆ ในยุค 90s ไม่ว่าจะเป็น Enemy at the Gates หรือ Seven Years in Tibet กลับมาคราวนี้ถือว่าเขาได้ใช้ความเก๋า และประสบการณ์การเป็นนักสร้างหนังมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ มาถ่ายทอดออกมาเป็นหนังดราม่าที่มีชั้นเชิงความเป็นสารคดีปะปนอยู่หน่อย กับการหยิบเอาเหตุอัคคีภัยครั้งสำคัญของโลกมาดีแผ่

ไซมอน แฟรงเลน คอมโพสเซอร์ฝีมือดีผู้อยู่เบื้องหลังเสียงดนตรีในหนังฟอร์มยักษ์อย่าง Avatar, Titanic และ Skyfall, ฌอง ราบาสเซ โปรดักชันดีไซเนอร์ดีกรีรางวัลออสการ์ และ โดมินิก มอยซาน อาร์ตไดเร็กชั่น ผู้อยู่เบื้องหลังหนังฟอร์มยักษ์ทั้ง Lucy และ Valerian and the City of a Thousand Planets

หากจะวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงไปตรงมานั้น Notre-Dame On Fire ภารกิจกล้า ฝ่าไฟนอเทรอดาม ก็คงจะเป็นหนังที่ไม่ว่าอย่างไรก็ชวนติดตามอยู่ดี เพราะนี่คือมุมมองที่ปรุงแต่งขึ้นมา(บางส่วน)ซึ่งคนทั่วโลกแทบจะไม่ค่อยมีโอกาสได้อินไซด์มากมายขนาดนี้ การปรุงแต่งของหนังเรื่องนี้ที่มาใช้สูตรสำเร็จเดิม ๆ ที่ยังสร้างรสชาติที่กลมกล่อมได้ดีไปตลอดทาง

Notre-Dame On Fire เป็นหนังที่ไทม์ไลน์เจาะลึกในเรื่องเพียงแค่ไม่กี่ชั่วโมง แต่ต้องถ่ายทอดออกมาในหลาย ๆ แง่มุมภายในระยะของหนังที่ไม่ถึง 2 ชั่วโมงให้ได้ จึงทำให้ช่วงแรก ๆ ของหนังค่อนข้างปูเรื่องได้อย่างช้า ๆ เกือบจะน่าเบื่อไปสักหน่อย แต่พอเข้าที่เข้าทางและเข้าถึงประเด็นหลักของหนังได้แล้ว ก็ถ่ายทอดเหตุการณ์สุดลุ้นระทึกเป็นชั่วโมงที่เต็มไปด้วยความระอุของเปลวเพลิงและความหวังที่อยากจะหยุดยั้งสถานการณ์นี้ลงให้เร็ว

ฌอง-ชาคส์ อองโนด์ ได้ใช้เทคนิคการเล่าเรื่องที่ไม่ได้มีลูกเล่นอะไรเท่าไหร่ ดำเนินไปตามไทม์ไลน์ของเหตุการณ์เกือบจะเป๊ะ ๆ ผสมผสานทั้งฉากในการแสดงและฟุตเทจจากเหตุการณ์จริงตัดสลับกันไปบ้าง ตัวละครของหนังเรื่องนี้ค่อนข้างเยอะทีเดียว และนั้นจึงทำให้หนังไม่มีเวลาที่จะโฟกัสให้คาแรกเตอร์ใดคาแรกเตอร์หนึ่งโดดเด่นกว่าใคร จึงทำให้ภาพรวมของหนังดำเนินไปอย่างแห้ง ๆ และแทบจะไม่มีอะไรโดดเด่นมากนัก

หนังอาจจะมีความเป็นสารคดีอยู่ในบางมุม แต่ก็จำเป็นต้องมีพาร์ทการแสดงเอาไว้ช่วยขัดเกลาอรรถรสผู้ชมเป็นส่วนใหญ่ เหมือนกับที่คำโปรยที่ขึ้นบอกเอาไว้ตั้งแต่แรกในหนังที่ว่า “สร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่อาจจะน่าเหลือเชื่อไปสักหน่อย” นั่นแหละ…เพราะหนังก็ยังใส่ความขาด ๆ เกิน ๆ เข้ามาปะปนอยู่บ้าง เป็นตัวที่ช่วยปรับอารมณ์ของผู้ชมในบางช่วงบางตอนไปตลอดทั้งเรื่องนี้

เพราะว่า Notre-Dame On Fire ไม่ได้เน้นสร้างจุดเด่นให้กับตัวละครและการแสดงสักเท่าไหร่ จึงทำให้ไม่มีใครเด่นมากว่าใคร แต่หากจะพูดถึงองค์ประกอบรวม ๆ ของแคสติ้งในหนังเรื่องนี้ ก็ถือว่าพวกเขาทุ่มเทและเต็มที่กับการแสดงในครั้งนี้เป็นอย่างดี ถึงจะได้มุมมองและวิสัยทัศน์ในการแสดงออกมาแบบเชย ๆ ตามสไตล์ของผู้กำกับลายครามผู้นี้ก็ตาม แต่ก็เอาเถอะ…ก็ยังเป็นหนังที่ดูพอสนุกได้ดีอยู่

เอาว่าในภาพรวมนั้น Notre-Dame On Fire ก็ถือว่าเป็นที่สร้างมาจากเหตุการณ์จริงที่เคยเป็นข่าวโด่งดังไปทั่วโลก การเลือกหยิบเอามุมมองจากคนทำงานและเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติหน้าที่ในวันนั้นมาตีแผ่นั้น ก็ถือว่าเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย จะบอกตรง ๆ เลยว่า หนังเรื่องนี้สามารถกลายมาเป็นหนังพีอาร์ให้กับกรมดับเพลิงกรุงปารีสได้สบาย ๆ เลยทีเดียว เพราะเกือบ 2 ชั่วโมงของหนังเรื่องนี้ ทำให้ผู้ชมได้เห็นแง่มุมการทำงานของเจ้าหน้าที่และการบูรณาการแก้สถานการณ์จากทั้งสองฝ่าย

ไม่เพียงเท่านั้น หนังยังสะท้อนถึงมุมมองความเชื่อทางศาสนาและศรัทธาที่สอดแทรกเอาไว้อยู่ในหลาย ๆ จังหวะ ที่บางจุดก็อาจจะทำให้เลี่ยนเกินไปหน่อย แต่ก็ไม่ถึงกับเป็นการยัดเยียดเกินเหตุ เพราะภารกิจของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงที่โดดเด่นในหนังเรื่องนี้ถือว่าทำได้ดี และก็เพียงพอที่จะทำให้เรารู้สึกอิจฉาหน่อย ๆ ที่ได้เห็นเจ้าหน้าที่บ้านเขาทำหน้าที่ที่มีอุปกรณ์และเครื่องมือครบครัน พร้อมกับมือกับสถานการณ์เป็นอย่างดี เราก็ใฝ่ฝันเหมือนกันว่า…จะได้เห็นอะไรแบบนี้ในบ้านเราบ้าง…ในสักวันหนึ่ง

รีวิว

Notre-Dame on Fire คือภาพยนตร์ที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์ไฟไหม้มหาวิหาร Notre-Dame ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ในปี 2019 โดยได้ Jean-Jacques Annaud ( ผู้กำกับภาพยนตร์เรื่อง Seven Years in Tibet และ Enemy at the Gates ) มารับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวและความรู้สึกของผู้คนที่มีต่อเหตุการณ์ในครั้งนี้

ภาพยนตร์จะบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับเหตุการณ์ไฟไหม้มหาวิหาร Notre-Dame โดยจะค่อยๆ พาผู้ชมเข้าไปสำรวจถึงต้นตอของสาเหตุไฟไหม้ ไปจนถึงการคลี่คลายสถานการณ์ที่เกิดขึ้นโดยผู้คนจากทุกฝ่าย

สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือ ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นภาพยนตร์สารคดีมาก เพราะนำเสนอเรื่องราวความจริงของสิ่งที่เคยเกิดขึ้นในอดีต เพียงแต่ในครั้งนี้เรื่องราวเหล่านั้นถูกถ่ายทอดออกมาผ่านสายตาของผู้กำกับ โดยใช้เทคนิคทางภาพยนตร์เข้ามาเสริมสร้างเรื่องราวให้ดูมีโครงและน้ำหนักมากขึ้น โดยเฉพาะวิธีการเล่าเรื่องและวิธีการลำดับภาพ

ซึ่งสิ่งที่ Jean-Jacques Annaud เลือกที่จะโฟกัสในภาพยนตร์ก็คือ ทีมนักดับเพลิงที่เป็นคีย์หลักสำคัญในการหยุดเหตุการณ์มหันตภัยไฟไหม้ในครั้งนี้ โดยช่วงครึ่งหลังของเรื่องนั้น ภาพยนตร์จะพาเราไปเกาะติดอยู่กับทีมนี้แทบจะตลอดเวลา ซึ่งทำให้ใครหลายคนรู้สึกถึงความสมจริงราวกับยืนอยู่ในสถานการณ์นั้นด้วยตัวเอง นอกจากนี้ ภาพยนตร์ยังพาเราไปดูทีมอื่นๆ ที่ให้ความช่วยเหลือและประสานงานกับทีมนักดับเพลิงในการแก้ไขสถานการณ์ครั้งนี้ด้วยเช่นกัน

ถึงแม้ภาพยนตร์จะเทน้ำหนักไปที่ทีมนักดับเพลิงเป็นส่วนใหญ่ แต่ภาพยนตร์ก็ยังคงเน้นย้ำกับคนดูเรื่อง ‘ความสามัคคี’ ของมวลมนุษย์อยู่เสมอ อย่างที่ได้กล่าวไปข้างต้นว่า ภายในเรื่องนั้นเราจะไม่ได้เห็นแค่การทำงานของทีมดับเพลิงเพียงทีมเดียว แต่จะได้เห็นทั้งตำรวจ, ผู้ดูแลวิหาร, สถาปนิก และทหาร ร่วมแรงร่วมใจกันเป็นหนึ่งเดียว เพื่อแก้ไขปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น และผ่านพ้นวิกฤตในครั้งนี้ไปด้วยกัน ซึ่งทั้งหมดนั้นก็ส่งต่อมวลอารมณ์เรื่อง ‘ความสามัคคี’ ของมวลมนุษย์ในยามวิกฤตมาสู่ผู้ชมได้เป็นอย่างดี

และองค์ประกอบสำคัญที่ทำให้ผู้ชมจดจ่ออยู่กับเนื้อหาเหล่านั้นได้ก็คือ งานภาพและฉากที่เรียกได้ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ดีรองลงมา หรืออาจจะดีกว่าเนื้อหาก็เป็นได้ เพราะภาพยนตร์ค่อนข้างจะให้ความสำคัญในจุดนี้เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะความอลังการของมหาวิหาร Notre-Dame และการนำเสนอภาพความงดงามทั้งภายในและภายนอกมหาวิหาร รวมไปถึงภาพที่เกิดเหตุตอนไฟไหม้ด้วยเช่นกัน

นอกจากสิ่งที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว สิ่งหนึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ที่รู้สึกว่าอาจจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกรำคาญได้ก็คือ ตัวละครที่เต็มไปด้วยความงุนงงในการกระทำของตัวเอง นั่นก็เพราะว่าพวกเขาหลายคนสามารถที่จะยับยั้งเหตุการณ์เหล่านั้นได้ ก่อนที่มันจะกลายเป็นเรื่องลุกลามบานปลายจนยากเกินจะควบคุมแต่หากมองในมุมกลับกัน สิ่งที่ภาพยนตร์เรื่องนี้นำเสนอก็คือ ‘ความจริง’ และบางครั้งในสถานการณ์จริงก็อาจจะมีคนประเภทนั้นอยู่จริงๆ

ซึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนชอบและคิดว่าดีพอสมควรในภาพยนตร์เรื่องนี้เลยก็คือ ภาพยนตร์บอกกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าในบางครั้งมหันตภัยต่างๆ ที่เกิดขึ้นมานั้น ก็มีต้นเหตุมาจากความประมาทเลินเล่อและมักง่ายของมนุษย์ที่มองข้ามสิ่งเล็กๆ ไป จนทำให้มันกลายเป็น ‘น้ำผึ้งหยดเดียว’ ที่นำพาปัญหาต่างๆ ตามมาทีหลัง

มีข้อดีก็ต้องมีข้อเสีย สิ่งที่คิดว่าเป็นปัญหาพอสมควรก็คือ การที่ตัวภาพยนตร์เลือกที่จะหยิบยืมวิธีการเล่าเรื่องแบบสารคดีมาใช้ ทำให้บางช่วงของภาพยนตร์ขาดตอนไป โดยเฉพาะการกระทำของตัวละครบางตัวที่ภาพยนตร์เลือกที่จะกระโดดข้ามไปเลย เห็นอีกทีก็คือใส่ชุดพร้อมรับมือกับสถานการณ์แล้ว ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ยังอยู่ในมหาวิหาร ถึงแม้จะเป็นภาพยนตร์ที่มอบประสบการณ์ความสมจริงให้กับคนดูมากเพียงใด แต่ก็ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่เต็มไปด้วยบาดแผลเล็กๆ น้อยๆ มากมายตลอดทั้งเรื่องด้วยเช่นกัน

 

ข้อมูลเกี่ยวกับหนัง Notre-Dame On Fire ภารกิจกล้า ฝ่าไฟนอเทรอดาม

ประเภท: ดราม่า
ผู้กำกับ: ฌอง-ชาคส์ อองโนด์
นำแสดงโดย: ซามูเอล ลาบาร์ธ, แม็กซิมิเลียน แซเวอริน, เจเรมี่ ลาเฮิร์ท
ความยาว: 110 นาที
กำหนดฉายในไทย: 14 กรกฎาคม 2022 ( ในโรงภาพยนตร์ )