รีวิว Green Book

รีวิว Green Book

รีวิว Green Book

รีวิว Green Book เรื่องย่อ

“Green Book” คือผลงานที่นำแสดงโดยสองนักแสดงฝีมือคุณภาพ “วิกโก มอร์เทนเซน” ผู้เข้าชิงสองรางวัลออสการ์จาก “Eastern Promises” (2007) และ “Captain Fantastic” (2016) ร่วมด้วย “มาเฮอร์ชาลา อาลี” เจ้าของรางวัลออสการ์นักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยมจาก “Moonlight” (2017) เล่าถึงเรื่องราวของสองคู่หูต่างขั้วที่จับพลัดจับผลูตระเวนเดินทางไปทั่วตอนใต้ของอเมริกาด้วยกัน “โทนี ลิป” (วิกโก มอร์เทนเซน) พี่ล่าขาใหญ่เชื้อสายอิตาเลียน-อเมริกันจากย่านบรองซ์ในนิวยอร์กต้องมาเป็นคนขับรถให้ “ดอน เชอร์ลีย์” (มาเฮอร์ชาลา อาลี) นักเปียโนคลาสสิกผิวสีระดับโลก ระหว่างที่เขาออกเดินสายขึ้นแสดงในยุค 60 สิ่งเดียวที่นำทางทั้งคู่คือ “สมุดปกเขียว” ที่บอกสถานที่ที่เป็นมิตรกับคนผิวสี พวกเขาต้องฝ่าทั้งกำแพงแห่งสีผิว ภัยอันตรายต่างๆ เช่นเดียวกับน้ำใจจากเพื่อนมนุษย์ในการเดินทางครั้งสำคัญนี้  ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
“Green Book” ได้กลายเป็นม้ามืดที่ทุกคนล้วนต้องจับตาในทันทีที่สามารถคว้า “รางวัลขวัญใจมหาชน” (People’s Choice Award) จากงาน “เทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต ครั้งที่ 43” (2018 Toronto International Film Festival) มาครอบครองไว้ได้อย่างสำเร็จ เรียกได้ว่ากวาดคำชมจากทุกสื่อใหญ่มาแล้วอย่างท่วมท้น 100% บนเว็บไซต์รวมคำวิจารณ์ชื่อดัง “Rotten Tomatoes”สปอยหนังใหม่
รีวิว Green Book
หลังการคว้ารางวัลนี้ส่งให้ “Green Book” ได้กลายเป็นตัวเก็งใน “สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยม” บนเวที “รางวัลออสการ์” ที่กำลังจะมาถึงไปเป็นที่เรียบร้อยด้วยเช่นกัน
ก่อนหน้านี้ ภาพยนตร์ที่เคยคว้ารางวัลขวัญใจมหาชนในเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติโตรอนโต รวมทั้งยังสามารถคว้ารางวัลภาพยนตร์ยอดเยี่ยมบนเวทีออสการ์มาแล้วเช่นกัน ได้แก่ “Chariots of Fire, American Beauty, The King’s Speech, 12 Years a Slave และ Slumdog Millionaire”
รีวิว Green Book
หรือแม้กระทั่งรางวัลขวัญใจมหาชนในปีก่อนๆ อย่าง “La La Land” และ “Three Billboards Outside Ebbing, Missouri” ล้วนแล้วแต่มีบทบาทสำคัญในการคว้ารางวัลใหญ่จากเวทีออสการ์ด้วยกันทั้งสิ้น
รีวิว Green Book
หนังเอาเรื่องจริงเกี่ยวกับประวัติศาสตร์การเหยียดผิวอันเลื่องชื่อของอเมริกาในช่วงยุค 1930-1960 ที่คนผิวสีต้องพกหนังสือชื่อ “The Negro Motorist Green Book” ซึ่งภายหลังชื่อเรียกเหลือแค่ Green Book ที่พิมพ์มาเป็นไกด์แนะนำว่ามีร้านอาหาร โรงแรม หรือสถานที่ใดที่ยินดีต้อนรับคนผิวสีบ้าง เพราะยุคนั้นถ้าหลงเข้าไปที่ที่มีการเหยียดรุนแรงอาจถูกทำร้ายจิตใจทางวาจา หรืออาจหนักกว่านั้นจนเสี่ยงชีวิตเลยก็ได้
หนึ่งในเรื่องราวที่สวยงามที่สุดในยุคนั้นก็คือ มิตรภาพของคนต่างผิวสีต่างนิสัยและต่างที่มา ซึ่งเกิดขึ้นจริงในวงการบันเทิงอย่าง ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นักเปียชื่อดังระดับโลก กับบอดี้การ์ดอิตาลีสุดกระด้างจากย่านกุ๊ยของนิวยอร์กอย่าง โทนี่ ลิป วัลเลลองก้า ที่ถูกว่าจ้างให้ติดตามดูแลครั้งที่ ดร.เชอร์ลีย์ ต้องเดินทางแสดงผลงานในภาคใต้ของอเมริกาซึ่งมีประวัติการเหยียดผิวรุนแรงที่สุดเพราะเป็นดินแดนที่ค้าทาสผิวสีเดิม ก่อนที่จะแพ้สงครามกลางเมืองและมีการบังคับเลิกทาสไปในที่สุดสมัยประธานาธิบดีลินคอล์น แต่กระนั้นความรุนแรงของการเหยียดผิวก็ยังฝังรากลึกในวัฒนธรรมแดนใต้อยู่ต่อมายาวนาน การเดินทางแสดงดนตรีธรรมดาจึงมีเรื่องราวมากกว่าแค่การนั่งรถชมวิวแน่นอน
รีวิวGreen Book
หนังได้ดาราชั้นนำมารับบทคนที่มีอยู่จริงอย่างนักแสดงนำ วิกโก้ มอร์เทนเซน หรือ อารากอน จาก The Lord of the Rings มารับบท โทนี่ ลิป และได้ดาราเจ้าของรางวัลสมทบชายออสการ์จากหนัง Moonlight (2016) อย่าง มาเฮอร์ชาลา อาลี มารับบท ดร.ดอน เชอร์ลีย์  และดอกไม้ชูโรงของหนังก็ได้ ลินดา คาร์เดลลินี่ จาก Brokeback Mountain (2005) มารับบท โดโลเรส ภรรยาของโทนี่ ลิป ด้วย
หลายคนอาจจะคุ้นหน้าของ โทนี่ ลิป ตัวจริง เพราะภายหลังจากเรื่องราวในหนังนั้น เขาก็สร้างเนื้อสร้างตัวจนเป็นเจ้าของกิจการไนท์คลับชื่อดัง และกลายเป็นหนึ่งในดารารับเชิญที่มักปรากฏตัวในหนังของผู้กำกับดังอย่าง ฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปลา ซิดนีย์ ลูเมท และ มาร์ติน สกอร์เซซี  โดยครั้งแรกเขาเล่นบทรับเชิญแขกในฉากงานแต่งของ The Godfather (1972) และที่น่าจะจำได้มากสุดคือการรับบท คาร์ไมน์ ลูเปอร์ทาสซี่ ในซีรีส์ The Sopranos นั่นเอง ซึ่งเสน่ห์ของหนังส่วนมากเลยต้องบอกว่ามาจากตัวของโทนี่ ลิป นี่เองเลยล่ะ เพราะแม้จะหยาบกระด้างแต่เขาสัมผัสได้ และแม้จะแข็งนอกแต่ภายในเขามีมุมอ่อนโยน มีเสน่ห์ในการพูดจาหว่านล้อม เป็นลูกผู้ชายที่ถือสัจจะเป็นคนจริง และเป็นนักเลงในแบบที่ใครก็เกลียดไม่ลงเลย ซึ่งมอร์เทนเซนก็ถ่ายทอดออกมาได้อย่างไร้ที่ติ เป็นการพลิกทั้งรูปลักษณ์ และการแสดงที่เขาเคยทำได้อย่างน่าทึ่ง เราแทบลืมไปเลยว่านี่คือการแสดง และคนที่อยู่บนจอคือมอร์เทนเซน
รีวิวGreen Book
ในด้านของอาลี ที่รับบท ดร.ดอน เชอร์ลีย์ นั้นก็ต้องคารวะอีกครั้ง เพราะใน Moonlight เราอาจติดภาพนักเลงข้างถนนของเขามาอย่างตราตรึง แต่ในเรื่องนี้เขาก็พลิกเป็นชายผิวสีไฮโซ การศึกษาสูง ผู้มีรสนิยมสูงแปลกแยกจากคนอื่น และดูอ้างว้างโดดเดี่ยวอยู่เสมอได้อย่างน่าทึ่ง การที่ต้องเล่นเป็นนักเปียโนระดับเทพอาลีก็ฝึกฝนและถ่ายทอดการแสดงเปียโนที่สมจริงได้อย่างไม่มีอะไรให้ติติงเลย และการเข้าคู่ของทั้งคู่ทั้งอาลีและมอร์เทนเซนคือความน่าประทับใจที่เห็นถึงมิตรภาพของความแตกต่าง การยอมรับนับถือในกันและกันของผู้ชายสองคนที่สวยงามมาก ๆ ตราตรึงมาก ๆ ด้วย
รีวิวGreen Book
และที่ต้องชื่นชมที่สุดแห่งที่สุดคงเป็นงานเขียนบทและการกำกับ โดย ปีเตอร์ ฟาร์เรลลี่ อย่างที่ได้พูดมาว่าใช้ทักษะที่ชำนาญในหนังตลกแมส ๆ มาสู่หนังดราม่าได้อย่างคมคายและน่าทึ่งมาก ๆ เกินความหมายสุด ๆ และส่วนหนึ่งที่บทคมคายและสมจริงได้ขนาดนี้ก็ต้องชื่นชมมือเขียนบทร่วมที่ได้ลูกชายของโทนี่ ลิปตัวจริงอย่าง นิก วัลเลลองก้า มาช่วย รวมถึง ไบรอัน เฮย์ส เคอรรี่ ดาราตัวประกอบรุ่นเก๋าที่มาเสริมบทหนังได้อย่างดี มีคำพูดดี ๆ คม ๆ และน่าจดจำมากมาย มันคือหนังที่สมบูรณ์แบบในบทแบบชนิดไร้ช่องโหว่ และการถ่ายทอดผ่านกิมมิกของสีเขียวก็ถูกวางไว้ตลอดเรื่องก็ผลักดันให้เราดูไปคิดไป

ข้อคิดที่ได้ 

รีวิวGreen Book

 

1. โลกส่วนตัวของเราบางทีมันซับซ้อนสิ้นดี แต่เราหวังแค่เพื่อนซักคนที่เข้าใจและยอมรับฟัง ดอน เชอร์ลี่ย์ ถึงเขาจะเป็นผู้มีพรสวรรค์และเป็นอัจฉริยะด้านการเล่นเปียโน มีการศึกษาสูง มีชื่อเสียงโด่งดัง ชีวิตช่างดูดี แต่เบื้องหลังนั้นเขาเป็นเพียงผู้ชายเหงาๆ คนหนึ่งซึ่งไร้เพื่อน รู้สึกแปลกแยกจากคนทั้งโลกเพราะเขาโดนเหยียดจากคนขาว โดนคนดำด้วยกันมองว่าไม่เข้าพวก และยังต้องหลบซ่อนจากโลกความจริงที่ยึดมั่นนักหนาว่าผู้ชายต้องรักกับผู้หญิง แต่โทนี่ ลิป ถูกส่งมาจากนอกโลกหรือไงกัน ถึงได้เข้าใจว่าโลกนี้มันช่างซับซ้อน และพร้อมจะยอมรับและเข้าใจโลกของ ดร.เชอร์ลี่ย์
2. เราไม่มีทางเอาชนะได้ด้วยความรุนแรง เราจะชนะได้ก็ต่อเมื่อเรารักษาไว้ซึ่งเกียรติของตัวเอง หลายครั้งที่เราคงเจอกับเรื่องชวนหงุดหงิด กวนอารมณ์ ผู้คนก่นด่าและเข้ามาหาเรื่อง บางครั้งเราถึงขั้นตอบโต้กลับด้วยอารมณ์ที่อยู่เหนือเหตุผล สุดท้ายเรื่องก็ลงเอยด้วยความโกรธ เกลียดกัน และกลายเป็นตัวเราเองที่มานึกทีหลังว่าไม่น่าพูดจาไม่ดี ใช้คำร้ายๆ จนทำให้ตัวเองดูไม่มีเกียรติและความดีอยู่เลย คำพูดของ ดร.เชอร์ลี่ย์ ที่พูดถึงเรื่องเกียรติ มันมาเตือนสติเรา และเราก็เตือนตัวเองให้พึงระลึกไว้อยู่เสมอ
3. รู้จักยอมรับวิถีทางของผู้คน แม้เราจะมองว่ามันไม่ถูกต้อง จะบอกว่าไม่ผิดหรอกที่เราจะเรียกร้องความยุติธรรมให้ตัวเอง แต่ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าเรียกร้องไปก็เปลี่ยนใครไม่ได้ แถมเรายังต้องเจ็บช้ำใจมากกว่าเดิม สู้ปล่อยผ่านและเลี่ยงมาเดินอีกทางซึ่งเป็นวิถีของเราไม่ดีกว่าเหรอ
4. เพื่อนคือคนที่เข้าใจและยอมรับ ไม่ต้องสนิทนักหนา ไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แต่เธอจะไม่สบายใจเมื่อเห็นเราทุกข์ใจ เธออ่านเราออกและพร้อมจะเข้ามาปลอบใจเมื่อเราไม่มีใคร
5. ความรู้สึกแปลกแยกและไม่เข้าพวก คือจุดดำมืดในหัวใจ แน่นอนอยู่แล้วว่ามันเจ็บปวด เราทุกคนต้องการเป็นที่ยอมรับของคนรอบข้าง ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของความสุข ความทุกข์ ความสำเร็จของสังคมที่เราอาศัยอยู่ ความรู้สึกเศร้าหมองมันคงเกิดขึ้นและสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ แหละในเวลาที่เราถูกปฏิเสธจากสังคม จุดสำคัญคือต้องอดทนและอยู่ให้ได้…อยู่ให้ได้ด้วยเกียรติยังไงล่ะ
6. ความไม่ชอบที่เกิดจากความเชื่อต่อกันมา มันเปลี่ยนเป็นชอบได้นะ ยกตัวอย่างโทนี่ ลิป ที่ไม่ชอบคนผิวสี ไม่เคยชอบเลย พอเหตุการณ์จำเป็นบังคับให้ต้องเดินทางร่วมกัน เขาก็ได้เรียนรู้ว่าคนดำอย่าง ดร.เชอร์ลี่ย์ ไม่ได้เลวร้ายน่ารังเกียจเหมือนที่เขารู้สึกมาตลอดก่อนหน้านี้ คนเราก็เหมือนกัน…ลองใช้เวลาศึกษาและทำความเข้าใจกับมันสิ
7. ถนนชนบทมันสวยจัง มันน่าไปขับรถเล่น ฟังเพลง ปลดปล่อยความคิด ถ้าได้เพื่อนนั่งไปด้วยแล้วคุยกัน แลกเปลี่ยนมุมมอง ประสบการณ์การใช้ชีวิต ได้ถกกันเรื่องหนังที่ชอบ จอดแวะกินกาแฟระหว่างทาง คงดีมากเลย

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *