รีวิว X-Men Dark Phoenix
สปอยหนังใหม่ เมื่อเหล่าเอ็กซ์เม็นได้รับภารกิจช่วยชีวิตนักบินอวกาศได้เกิดเพลิงสุริยะในขณะทำการกู้ภัยเป็นผลให้ จีน เกรย์ (โซเฟีย เทอร์เนอร์) ดูดซับพลังงานมหาศาลไว้ในตัวเธอ แต่ผลลัพธ์ที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นเมื่อพลังดังกล่าวอาจเป็นภัยต่อทุกชีวิตบนโลก จนชาร์ลส์ เซเวียร์ (เจมส์ แม็คอวอย)และทีมเอ็กซ์เม็นต้องหาทางหยุดจีนไม่ให้ก่อวันโลกาวินาศจากพลังของเธอเอง นอกจากนี้โลกยังต้องเผชิญภัยร้ายจากต่างดาวนำโดย วุค (เจสสิกา แชสเทน) ที่หวังใช้พลังของจีนในการล้างบางโลกอีกด้วย
สนับสนุนเนื้อหาโดย Major Cineplex
ว่ากันที่ตัวโปรเจกต์ Dark Phoenix เองก็ไม่ต่างจากนกฟีนิกซ์ที่ดับแล้วเกิดใหม่เท่าใดนัก เพราะหลังประกาศสร้างในปี 2016 (3 สัปดาห์ก่อนภาค Apocalypse ออกฉาย) หนังก็ต้องเผชิญกับอภิมหากาพย์การถ่ายซ่อมจนเลื่อนวันฉายกันมาถึง 3 ครั้ง จนกระทั่งได้เข้าฉายจริงในสัปดาห์นี้ โดยหนังหยิบยกเหตุการณ์จาก The Dark Phoenix Saga ใน X-Men เล่มที่ 150 ซึ่งถือเป็นอีเวนต์ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมาดัดแปลงเป็นบทหนัง และแม้ว่าเราจะได้เห็นจีน เกรย์กลายร่างเป็นฟีนิกซ์กันมาแล้วบนจอทั้ง X-Men The Last
Stand ในปี 2006 หรือจะเป็นตอนท้ายของ X-Men Apocalypse (2016) แต่ Dark Phoenix จะเป็นครั้งแรกที่หนังจะไปโฟกัสที่พลังด้านมืดของจีน เกรย์และการรับมือของเธออย่างจริงจังเพื่อให้เห็นทั้งด้านมืดของพลังและความเปราะบางของจิตใจเด็กสาวที่มีอดีตอันเลวร้าย ซึ่งหนังได้ ไซมอน คินเบิร์ก ที่เคยเขียนบทหนังเอ็กซ์เม็นมาตั้งแต่ภาค The Last Stand ยัน Apocalypse (ยกเว้นภาค First Class ที่ผู้กำกับ แมตธิว วอห์น เขียนเอง) มาประเดิมงานกำกับครั้งแรกและยังเขียนบทหนังภาคนี้เช่นเคย
รีวิว X-Men Dark Phoenix
จุดเด่นของบทหนังคงหนีไม่พ้นการพยายามพาเรากลับไปสำรวจชีวิตของจีน เกรย์ ตั้งแต่วัยเด็ก ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่เริ่มจากการพยายามปกป้องจิตใจของฝ่ายหลังจนเกิดผลลัพธ์อันเลวร้ายตามมาได้เป็นอย่างดี ซีนที่ประทับใจหนีไม่พ้นซีนที่ชาร์ลส์ ยืนปากกาให้ จีน เป็นของขวัญพร้อมบอกเธอว่า เธอจะใช้ปากกาเขียนหนังสือหรือเป็นอาวุธก็ได้ ยังไงมันก็เป็นปากกา เป็นของขวัญไม่ต่างจากพลังของเธอ ซึ่งบทหนังส่วนนี้เขียนได้ชาญฉลาดมาก แต่น่าเสียดายที่ซีนดีๆมันดันหมดลงทันทีหลัง จีน เกรย์ กลายเป็นผู้ใหญ่ เพราะตัวบทหนังได้สร้างรูโหว่ไว้เพียบแถมยังไม่ได้บอกเหตุผลว่าทำไมเราถึงต้องคอยลุ้นเอาใจช่วยจีน เกรย์ หรือกระทั่งทำไมเหล่าเอ็กซ์เมนต้องปกป้องจีนด้วย รวมถึงความสัมพันธ์ระหว่าง จีน กับ ไซคลอปส์ ที่หนังเองยังวางไว้ได้ไม่ดีพอเราเลยไม่ค่อยซึ้งหรืออินกับความสัมพันธ์ทั้งคู่นัก หรือแม้กระทั่งพลังคอสมิกของจีน เกรย์ ก็ดันไม่ได้เล่าอะไรไปมากกว่าฉากปล่อยลำแสงเฮ้ากวงออกมาซัดศัตรูให้ติดกำแพง ซึ่งเอาเข้าจริงในเวอร์ชั่นคอมิกคือมีพลังถึงขั้นบิดมิติเวลาด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แต่ละคาแรกเตอร์นำจากหนังภาคเก่ายังถูกบอกเล่าได้อย่างงงวย อย่าง ชาร์ลส์ เซเวียร์ ที่คราวนี้เปิดเรื่องมาก็ใช้อำนาจสั่งการให้เอ็กซ์เม็นออกนอกโลกไปช่วยคนในภารกิจอันตราย พอจีนรับพลังกลับมาก็ดันมาสำนึกผิดทีหลังเหมือนคนเป็นไบโพลาร์ไม่เหลือเค้าศาสตราจารย์ที่ชาญฉลาดและมีเมตตาไว้เท่าใดนัก หรือจะเป็นแม็กนีโต ที่หนังให้ข้อมูลค่ายรวมเหล่ามนุษย์กลายพันธุ์ของเขาน้อยไปหน่อย ทั้งที่มันถูกใช้เป็นสนามรบในฉากใหญ่ของเรื่อง รวมถึงเหล่าตัวละครสมทบที่ไม่ได้ขับเคลื่อนเรื่องราวเท่าที่ควร โดยเฉพาะการพูดถึงปัญหาการเมืองร่วมสมัยที่สามารถหยิบจับเหตุการณ์ต่างๆมาเป็นวัตถุดิบชั้นดีได้สบาย ซึ่งตรงนี้แหละที่บทหนังของไซมอน คินเบิร์ก หลงลืมหัวใจของการเป็นหนังอิงการเมืองซึ่งเข้มข้นมากในหนัง 2 ภาคแรกตั้งแต่ปี 2000 รวมถึงการบอกเล่าตัวละครสมทบให้มีความน่าสนใจ มีเลือดมีเนื้อมากกว่านี้ก็จะทำให้บทหนังมีความสมบูรณ์มากกว่าการพยายามยัดบทสรุปสำเร็จรูปให้หนังตามที่ปรากฎ
แต่ใช่ว่านี่จะเป็นหนัง เอ็กซ์เม็น ภาคที่แย่อะไรนะครับ ตรงกันข้ามหนังอุดมไปด้วยฉากแอ็คชั่นน่าจดจำมากมาย โดยเฉพาะองก์สุดท้ายบนรถไฟที่หนังทำออกมาตื่นเต้นดีมาก หรือจะเป็นดนตรีประกอบที่ได้ ฮานส์ ซิมเมอร์ มาทำเพลงให้จนได้สกอร์ที่ทรงพลังมากๆ ในด้านนักแสดงคงต้องยอมรับว่าหากมองที่รูปลักษณ์ภายนอกการเลือกโซเฟีย เทอร์เนอร์ มารับบทนำอาจเป็นการตัดสินใจที่ดีในแง่การทำตลาด แต่กลับขาดเสน่ห์บนจออย่างรุนแรง ยิ่งเรื่องราวของจีน เกรย์ ไม่ได้ประเด็นรักสามเศร้าเหมือนหนังเรื่องก่อนๆ ก็ทำให้จีน เกรย์ดูเป็นตัวละครหลักลอยถูกจูงจมูกง่ายเวอร์ ซึ่งใครคิดจะดู Dark Phoenix อาจต้องทำใจกันสักนิดเรื่องการแสดง การเล่าเรื่อง แต่ถ้าพูดถึงฉากแอ็คชั่น รับรองมันส์..หายห่วงครับ หนังฟรี หนังใหม่
ความเห็นของเพื่อนผม
X-Men Dark Phoenix รีวิว สำหรับคนที่ติดตาม X-Men มาตลอด คงเข้าใจได้ว่านี่คือ หนังซูเปอร์ฮีโร่มาร์เวลในสังกัด FOX ที่แตกต่างจากที่ดิสนีย์เจ้าของมาร์เวลปัจจุบันทำมาก หนังมีโทนเรื่องจริงจังแฝงนัยยะมาตลอด โดยเนื้อเรื่องแต่ละภาคจะผสมผสานประวัติศาสตร์ การเมือง ปัญหาสังคม เชื้อชาติ สีผิว ชนชั้น ซึ่งนี่เป็นจุดขายหลักของ X-Men ที่ช่วยส่งเสริมฉากแอ็กชั่นให้เป็นองค์ประกอบเข้ากันได้เป็นอย่างดี แต่กับภาค Dark Phoenix จุดขายเหล่านี้กลับถูกละทิ้งไปจนหมด…
หนังโฟกัสไปที่ตัวจีนเกรย์เป็นหลัก ตามชื่อภาคที่ปูมาให้เรารู้มาก่อนแล้วว่าพลังในตัวเธอมหาศาลเกินควบคุม เมนหลักของเรื่องก็เป็นการเล่าถึงที่มาของจีนเกรย์ในวัยเด็ก และต้นตอของพลังฟีนิกซ์ พลังงานมีชีวิตจากนอกโลกที่เข้ามาสิงสู่เธอ จากภารกิจช่วยนักบินอวกาศในตอนต้นเรื่อง และยังมีเหล่าเอเลี่ยนที่ปลอมแปลงร่างเป็นมนุษย์มาตามหาพลังนี้ด้วยเช่นกัน
ถึงรู้แต่แรกแล้วว่าภาคนี้เป็นภาคจบปิดเฟรนไชส์ แต่บทบาทของเหล่าตัวละคร X-Men ในภาคนี้ก็เหมือนตั้งใจทำให้มันจบๆ ไปแบบไม่ใยดีนัก ทุกอย่างดูรวบรัดไปหมด ปมวัยเด็กของจีนเกรย์ที่มารู้ตอนโตแล้วอาละวาดก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร ยังวนเวียนกับปมมนุษย์เกลียดมิวแตนท์เหมือนเดิม ความรักของจีนเกรย์กับสก็อตก็ดูธรรมดาไม่ได้รู้สึกถึงความพิเศษ หรือเคมีที่เข้ากัน ต่างกับปมรักสามเส้าในภาคที่มีวูลฟ์เวอรีนมาร่วมไม่ได้เลยสักนิด
นอกจากนี้การกระทำของตัวละครแต่ละตัวก็ขัดแย้งกับพื้นฐานนิสัยที่ผ่านมาหลายอย่าง มีการเปิดปมใหม่ว่าชาร์ลไม่เหมาะเป็นผู้นำอีกต่อไป เพราะดูจะหลงระเริงกับชื่อเสียงที่ได้มาจากการส่งเหล่า X-Men นักเรียนในสังกัดไปเสี่ยงภัยช่วยโลก ซึ่งมันไม่น่าเป็นไปได้เลยจากวิกฤติที่ผ่านมาที่ชาร์ลดูสุขุมเยือกเย็นห่วงใยเหล่านักเรียนมาโดยตลอด ส่วนเรเว่นหรือมีสทีคซึ่งรับบทโดยดาราดัง Jennifer Lawrence ก็เหมือนเบื่อที่จะมาเล่น เพราะมีข่าวร่ำๆ จะเลิกสัญญาเล่นมาตลอด จนมาภาคนี้ก็เลยเมคอัพตัวมีสทีคแบบขอไปที (เห็นได้จากเทรลเลอร์เลยอันนี้) ซึ่ง Simon Kinberg ผู้กำกับผู้เขียนบท (คนเดียวกัน) ก็คงเบื่อที่จะง้อเธอแล้ว ก็เลยจัดบทสรุปในหนังให้เธอไปซะไวๆ (จะได้เลิกฟังเสียงบ่นเรื่องเมคอัพตัวเธอไปด้วย ขำๆ นะครับ) ซึ่งหลังจากตัดมิสทีคออกไปแล้ว ผู้กำกับก็พาหนัง X-Men ที่เคยมีเนื้อเรื่องหนักแน่นเต็มไปด้วยเหตุผล กลายมาเป็นหนังที่เดินเรื่องด้วย
บทอ่อนยวบเบาหวิว หนังเดินเรื่องไปด้วยความรู้สึกของตัวละครแต่ละตัวแบบง่ายจนไร้น้ำหนักมารองรับจนเกินไป แล้วพยายามทดแทนด้วยการจัดฉากแอ็กชั่นเล่นใหญ่อย่างสะเปะสะปะ ให้มีสงคราม มนุษย์ เอเลี่ยน ทีมชาร์ล ทีมอีริค และฟีนิกซ์ ตีกันมั่วไปหมด โดยลากตัวละครอย่างบีสต์ให้กลายมาเป็นตัวจุดชนวนสงคราม ซึ่งดูไร้เหตุผลไปมากจากนิสัยของบีสต์แบบดั้งเดิม แถมไม่พอยังดึงอีริคกลับมาเป็นแม็คนีโตเพื่อตีกับทีมเก่า ทั้งๆ ที่เปิดตัวมาตอนแรกเป็นคนที่ดูเข้าใจสัจธรรม ละวางความแค้นได้แล้วแท้ๆ กลับกลายมาเลือดเข้าตาบ้าล้างแค้นซะงั้น
การมาของตัวละครฝ่ายเอเลี่ยนก็ดูยัดเยียดให้มีเข้ามาแบบไม่เข้ากับเรื่องราวในภาคนี้เลยสักนิด (แม้จะมีที่มาจากคอมิค) ยิ่งเทียบกับภาค Last Stand ที่ให้จีนเกรย์ฟีนิกส์ ได้โชว์พลังร้ายกาจระดับล้างโลกได้แล้ว การมาของเอเลี่ยนในภาคนี้กลับกลายเป็นตัวลดทอนฉากโชว์พลังทำลายล้างของฟีนิกส์เต็มๆ ทั้งเรื่อง อย่างที่คนคาดหวังอยากดูไปซะอีก
แต่อย่างไรก็ดี หนังยังมีฉากแอ็กชั่นที่พอดูได้ แม้จะเคยเห็นกันมาก่อน (อย่างแม็กนีโตจอมยกของชิ้นใหญ่ก็ยังมีอยู่) หนังให้ฉากโชว์ความสามารถพิเศษกับทุกตัวละครหลายครั้ง แต่มันกลับไม่รู้สึกพิเศษ ไม่น่าจดจำอะไรนัก ไม่เหมือนภาคก่อนๆ แถมตอนท้ายสงครามใหญ่บนรถไฟก็ดูชุลมุนวุ่นวายเกินไป สู้กันจนไม่รู้ว่าใครรอดหรือใครตายตอนไหน ก่อนจะมาตัดจบสรุปปิดท้ายด้วยจีนเกรย์ร่างฟีนิกซ์แบบง่ายดายเกินไปจริงๆ (แถมคลุมเคลืออีกต่างหากว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่)
Dark Phoenix เรียกว่านอกจะเป็นภาคจบปิดท้ายแล้ว หนังยังพาจุดขายหลักของซีรีส์นี้ให้ดิ่งลงเหวไปหมด กลายเป็นหนังคนมีพลังพิเศษตีกันแบบงงๆ มีเอเลี่ยนแบบข้ามาเพื่อครองโลก เหมือนการ์ตูนพล็อตโหลๆ ซึ่งภาคก่อนก็ทีนึงแล้วกับ Apocalypse เรียกว่าหลังจากนี้ถึงอยากทำต่อก็คงเข็นกลับมาแนวทางจริงจังกับประวัติศาสตร์โลกไม่ไหวแล้ว
จริงๆ (หลังจากนี้ X-Men จะตกไปอยู่กับดิสนีย์เพื่อรีบูตใหม่มาร่วมจักรวาล Avengers ในอนาคต) และในเมื่อหนังขาดจุดขายจุดแข็งของตัวเองแบบนี้ สำหรับแฟนๆ X-Men อย่างผมที่ติดตามมาตลอดร่วม 19 ปี ก็คงถึงเวลาต้องลากันทีจริงๆ เหมือนกันครับ… ดูหนังฟรี,ดูหนังออนไลน์