รีวิว The Midnight Sky
รีวิว The Midnight Sky เรื่องย่อ
เรื่องราวหลังวันสิ้นโลกนี้ติดตามชีวิตของ ออกัสติน ( จอร์จ คลูนีย์ ) นักวิทยาศาสตร์ที่โดดเดี่ยวในแถบอาร์กติก ซึ่งเร่งหยุดยั้ง ซัลลี่ ( เฟลิซิตี้ โจนส์ ) และ ทีมนักบินอวกาศไม่ให้กลับมาเจอหายนะ ปริศนาบนโลกดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
หนังได้ชื่อว่า เต็งชิงออสการ์สาขาใดสาขาหนึ่ง โดยตัวความหวังมากสุดก็คงเป็นในสาขารางวัลนักแสดงนำชายยอดเยี่ยมของ จอร์จ คลูนีย์ เอง ที่เรื่องนี้เหมาทั้งแสดงนำ และ กำกับ โดยหนังดัดแปลงมาจากนิยายปี 2016 ชื่อ Good Morning, Midnight ของ ลิลี บรูกส์ ดัลตัน เจ้าของรางวัล The Oregon Book Award ในปี 2015 ด้วยฝีมือของมือเขียนบท มาร์ก แอล. สมิธ ที่เคยฝากฝีไม้ลายมือกับการร่วมเขียนบทหนังรางวัลออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง The Revenant ( 2015 ) มาแล้วรีวิวหนังน่าดู
สำหรับ The Midnight Sky นั้น เล่าเรื่องหลังเหตุการณ์ ที่ชั้นบรรยากาศของโลกมีมลพิษ สะสมมากเกินไป ทำให้มนุษย์ไม่สามารถ อยู่บนพื้นโลกได้ มนุษย์กลุ่มสุดท้าย จึงได้เตรียมการอพยพออกไปจากศูนย์ที่ขั้วโลกเหนือ เหลือไว้เพียงนักวิทยาศาสตร์ใกล้ตายที่นับวันเวลาที่โลกถึงกาลอวสาน มีบรรยากาศที่คล้ายคลึงทั้ง The Revenant ในแง่ของชาย ผู้สู้เพื่อครอบครัว โดยต้องเดินทางฝ่าพายุหิมะ และ ความเหน็บหนาว และหนัง The Descendants ( 2011 ) ที่คลูนีย์แสดงนำในแง่คน ที่พยายามสานสัมพันธ์กับครอบครัว และ ยังมีกลิ่นเบา ๆ ของชายผู้เคว้งคว้างไร้หลักยึดจนเกือบสูญเสียสิ่งสำคัญใกล้ตัวใน Up in the Air ( 2009 ) อีกผลงานการแสดงหนึ่งของเขาเช่นกัน
ดังนี้น่าจะพอเห็นภาพว่า แม้หนังจะสวมผิวหนัง ของความเป็นหนังไซไฟ อวกาศ ว่าด้วยการแสวงหาถิ่นฐานใหม่ บนดาวเคราะห์อันห่างไกล แต่โดยเนื้อแท้มันคือหนังดราม่า ที่แต่ละตัวละครยึดโยงกับสาระอันเป็นหัวใจเดียวกัน คือการโหยหาความผูกพัน การกลับคืนสู่บ้านในความหมายถึงครอบครัว ในแง่ใดแง่หนึ่ง มันจึงมีหัวใจของเรื่องแบบเดียวกันกับหนังของ คริสโตเฟอร์ โนแลน อย่าง Interstellar ( 2014 ) ที่ว่าด้วย พ่อ-ลูก และ อุปสรรคของกาลอวกาศที่กั้นกลาง ด้วยเช่นกัน
อย่างที่หลายคนล้วนบอกไว้ว่า บางทีเราก็ไขว้คว้าหาบางอย่างไกลแสนไกล ทั้งที่จริงมันอยู่ ( หรือเคยอยู่ ) ข้างกายเรามาเสมอ กว่าจะรู้ค่าบางที ก็อาจสายไปเสียแล้ว ซึ่งข้อคิดแบบนี้ก็ทำให้หนัง The Midnight Sky มีคุณค่าหรือน้ำหนักทางความคิดที่จับต้องได้อยุ่ไม่น้อย และ แม้ดูเหมือนว่าหนังช่างดูคล้าย ชาวบ้านเขาไปหมด แต่อย่างไรก็ตาม การนำเสนอของหนังมี ความเฉพาะตัวอยู่ ไม่ว่าจะเป็นการเล่าเรื่องแบบคู่ขนาน 2 เหตุการณ์ คือ กลุ่มบนโลกอันได้แก่ ออกัสติน (จอร์จ คลูนีย์) ชายที่เคยถูกหน้าที่การงานพรากครอบครัวของเขาไป ในตอนนี้กำลังพยายามส่งสัญญาณไปยังยานอวกาศที่กำลังกลับมาโลกจากการสำรวจถิ่นฐานใหม่ที่แถบดาวพฤหัสฯ เพื่อเตือนไม่ให้กลับลงมา เพราะในเวลานี้โลกไม่ใช่ที่สิ่งมีชีวิตจะอาศัยรอดแล้ว
ในขณะเดียวกันเขาก็ได้รับโอกาสการเป็นพ่ออีกครั้งเมื่อต้องดูแล ไอรีส ( แม่หนูน้อย โคออยลินน์ สปริงกัล ) เด็กน้อยที่ถูกทิ้งไว้บนฐานของเขาหลังคนอพยพหนีกันไปหมดแล้ว
และอีกเหตุการณ์คือเรื่องราวบนยานสำรวจอีเทอร์ที่ไม่ได้รับสัญญาณจากโลกจนลูกเรือเริ่มกังวล และเร่งเดินทางกลับมาหาครอบครัวบนโลก โดยเล่าผ่านสายตาของ ซัลลี่ ( เฟลิซิตี้ โจนส์ ) ที่กำลังตั้งท้องอีกที
จะจับได้ว่า แต่ละตัวละคร มีความรู้สึกของความเป็น พ่อแม่ ที่ต้องแบกรับภาระ ความรับผิดชอบ ( การชดใช้ความผิดพลาด ) หรือความรู้สึกอยากปกป้อง ลูกของตนเองไว้ตลอดเวลา และการแสดงออกเรื่องนี้ก็ แตกต่างไปตามสถานการณ์ของแต่ละตัวละคร เรียกได้ว่า The Midnight Sky มั่นคงในการรักษาอารมณ์แบบดราม่าเนิบนิ่ง ซ่อนความหมายแห่งอารมณ์ของตัวละครไว้เพื่อเผยแล้วกระชากใจผู้ชมในช่วงท้ายอย่างมีนัยสำคัญ
โดยระหว่างทาง แม้ยังมีฉากปลุกเร้าเราเป็นระยะอย่างการผจญภัย กลางพายุหิมะและทะเลสาบน้ำแข็งที่แตกร้าว หรืออุบัติเหตุกลางอวกาศ ของลูกทีมยานอีเทอร์ ตลอดจนการใช้งานภาพและซีจีที่สวยงามหมดจดตรึงสายตากับโลกในอนาคต แต่นั่นก็เพียงเป็นการตบตาเราจากสาระสำคัญที่รอการขยี้แรง ๆ เท่านั้น
ซึ่งว่ากันตามตรงน่าเสียดายนิด ๆ เหมือนกันที่จุดเฉลยสำคัญอันหนึ่ง ผู้ชมสามารถคาดเดาได้ไม่ยากตั้งแต่นาทีที่ 50 ของเรื่อง แต่กระนั้นการเฉลยอีกส่วนก็ยังทำเราจุกเล็ก ๆ แต่หนักลึก ๆ ได้อยู่เหมือนกัน และน่าจะเป็นไม้ตายจริง ๆ ของกลวิธีการเล่าเสียมากกว่า เมื่อหนังเฉลยความทะแม่ง ๆ ทั้งหมดในฉากสุดท้ายทีเดียวเลย
ข้อเสีย
ของหนัง ก็คงเป็นหน้าหนังที่สร้างความเข้าใจ ว่าหนังเป็นแนวไซไฟ เอาตัวรอดบนโลกอนาคต ของคนแก่ และ เด็กน้อย คล้าย ๆ พวก Bird Box ( 2018 ) ซึ่งมาจากโปสเตอร์ และ ตัวอย่างหนังนั่นล่ะ เพราะเมื่อประเมินทั้งหมดทั้งมวล น่าจะกล่าวได้เต็มปากว่า The Midnight Sky เป็นหนังดราม่าครอบครัวมากกว่าหนังไซไฟ และตัวหนังมันก็อาจไม่ได้ถูกใจใครไปเสียหมด แต่ก็มีความดีที่เหนือมาตรฐานอยู่นิดหน่อย และ น่าจะยากอยู่เหมือนกัน ที่จะไปชิงพื้นที่รางวัลใด ๆ ด้วยพลังงานที่ไปไม่สุดอารมณ์แบบนี้
ปัญหา ของหนังเรื่องนี้ก็ การเล่าสลับไปมา ระหว่างสองกลุ่มนี้เเหละ ถึงเเม้มันจะเชื่อมโยงกันก็จริง เเต่มันจูนอารมณ์ให้ติดกัน ได้ไม่ดีเท่าที่ควร จะดีก็ดีไม่สุด จะดราม่าก็ดราม่าไม่สุด หรือจะเน้นเอาตัวรอดก็มีตื่นเต้นอยู่ประปราย ข้อดีคือการเเสดงของ ” George Clooney ” ที่มาในลุคนักวิทย์ศาสตร์หนวดเคราหนาเตอะ ที่นานๆจะได้เห็นเเกเล่นหนังกับเขาบ้าง
จุดเด่น
ดราม่าเน้น บรรยากาศ และ อารมณ์ค่อย ๆ ซึมลึก มีเอาแอ็กชันมาปลุกบ้าง แต่ใด ๆ ความดีงามคือการแสดงผ่านสายตาจากนักแสดงฝีมือดีหลายคน และความน่านักของหนูน้อยสปริงกัลที่ขโมบหัวใจแบบไม่ต้องพูดอะไรก็ยังได้
ความรู้สึกหลังการรับชมภาพยนตร์เรื่อง The Midnight Sky
The Midnight Sky เป็นภาพยนตร์ดราม่า ที่ผสมผสานเข้ากับวิทยาศาสตร์ ไซไฟได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางหายนะ ของโลกเราจะพบหินความสิ้นหวัง ของผู้คนแต่ก็ยังคงต้องพยายามมีชีวิตรอดต่อไปให้ได้ แม้ว่าการดำเนินเรื่องเรา จะค่อนข้างราบเรียบไม่ได้มีอะไร ให้ตื่นเต้นมากมาย แต่ก็มีอุปสรรค เข้ามาแทบจะตลอดเวลา ให้เราได้ลุ้น ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางฝ่าขั้วโลกไปยังสถานีจนทำให้ชายแก่และเด็กสาวเกือบจะต้องตาย การที่ยานอวกาศพบเศษอุกกาบาตพุ่งเข้ามาชน
งาน Visual effects ก็สามารถทำออกมาได้ดีและสมจริง แต่ส่วนใหญ่แล้วภาพยนตร์จะเล่าเน้นเรื่องราวแนวดราม่าชีวิตมากกว่า ซึ่งอาจจะไม่ใช่แนวที่ได้รับความนิยมทำให้มันไม่ประสบความสำเร็จเท่าที่ควร ผู้คนส่วนใหญ่ เข้าไปรับชมภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ไซไฟ เพราะต้องการจะรับชมเทคโนโลยี และ การต่อสู้กันอย่างเมามัน แต่ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้รับชมได้
ดังนั้นต้องบอกว่ามันไม่ใช่ภาพยนตร์ที่แย่เพราะเรื่องราวนั้นได้แฝงข้อคิดเกี่ยวกับการใช้ชีวิตมากมายให้เราได้ตระหนักและนำไปคิดต่อ ท่ามกลางสภาวะที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง ยังคงมีความหวังอยู่เสมอ เพียงแต่ว่ามันอาจจะไม่ได้เหมาะสำหรับผู้รับชมทุกกลุ่มเท่านั้น
หากคุณเป็นคนที่ชื่นชอบภาพยนตร์แนวแอ็กชันไซไฟ ภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่ตอบโจทย์ความต้องการของคุณในการเห็นฉากต่อสู้สุดมันส์ แต่หากคุณชื่นชอบบรรยากาศสุดเวิ้งว้างทางเทคโนโลยีและความสิ้นหวัง ภาพยนตร์ที่จะแสดงให้เห็นถึงสัจธรรมของการใช้ชีวิต ภาพยนตร์เรื่องนี้จะสามารถทำให้คุณเพลิดเพลินและชื่นชอบได้ไม่ยาก