รีวิว Eurovision Song Contest The Story of Fire Saga
รีวิว Eurovision Song Contest The Story of Fire Saga ที่มา
เรื่องราวของ 2 หนุ่มสาวผู้มีดนตรีอยู่ในหัวใจ ” ลาร์ส ” กับ ” ซิกริต ” หรือ ” ไฟร์ซากา ” พวกเขาเติบโตมาด้วยกัน ตั้งแต่เด็กในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งบนเกาะไอซแลนด์ ที่หนาวเหน็บ ความฝันของพวกเขา ดูเหมือนจะเกินไขว่คว้า กลายเป็นเรื่องเพ้อ ๆ ที่ชาวเมืองเองก็ดูจะไม่สนับสนันสักเท่าไหร่ แต่โชคชะตาได้ขีดเส้นเอาไว้ให้พวกเขามีโอกาสผ่านเข้ารอบไปชิงชัยบนเวทีร้องเพลงระดับทวีป จึงได้ไปทำตามความฝัน ท่ามกลางคำสบประมาทต่างๆ ที่เก็บเอาไว้ในใจตลอดหลายปีรีวิวหนังน่าดู
การกลับมาอีกครั้ง ของเจ้าพ่อหนังตลก ที่เคยเฟื่องฟู มาเมื่อราวๆ 10 ปีก่อน อย่าง ” เดวิด ด็อบกิน ” ( จาก Wedding Crashers และ The Change-Up ) เมื่อได้มาร่วมงานกับ “วิล เฟอร์เรล” หนึ่งในตำนานตลกขาประจำของฮอลลิวูด จึงบังเกิดเป็นหนังที่เต็มไปด้วยมุกตลก..ที่ไม่ค่อยมีความสดใหม่สักเท่าไหร่ ภายใต้โครงเรื่องเดิม ๆ ที่ก็ไม่ได้ทำให้รู้สึกน่าสนใจมากนัก วิล เฟอร์เรล รับหน้าที่เขียนบทหนัง และ นำแสดงเองในเรื่องนี้ดูหนังออนไลน์ ดูหนังฟรี
ภาพรวมของ Eurovision Song Contest แน่นอนว่าเป็นหนังที่มาพร้อมกับมุกเสียดสีสังคม และ วัฒนธรรม โดยเฉพาะการหยอกล้อ จิกกัด การจับประกวดร้องเพลงเวที ชื่อดังแห่งนี้ ที่เอาเข้าจริงๆ ก็เป็นมหกรรมการ แข่งขันที่ศักดิ์สิทธิ์ เพราะจัดต่อเนื่อง กันมากว่า 60 ปีแล้ว แต่ความโดดเด่นของเวทีร้องเพลงแห่งนี้ไม่ใช่แค่เพียงเสียงร้องที่ล้ำเลิศของตัวแทนแต่ละประเทศ ความเล่นใหญ่ของแต่ละชาติต่างหากที่เป็นไฮไลท์ที่น่าสนใจ
หนังฉลาดมาก ที่เลือกตัวละครหลักมาจากไอซ์แลนด์ ประเทศเล็ก ๆ ที่โดดเด่นอยู่ใกล้กับขั้วโลกเหนือ เป็นชาติที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ และมีนักร้องที่โดดเด่นเข้าแข่งขันสักเท่าไหร่ในแต่ละปี แต่หนังก็เลือกชาตินี้มาสร้างสีสัน ด้วยการผลักดันตั้งสมมติฐานที่ว่า หากถ้าไอซ์แลนด์โดดเด่นบนเวทียูโรวิชั่นจะเป็นอย่างไร ( ตามสถิตินับตั้งแต่จัดการประกวดเวทีนี้ขึ้นมา ไอซ์แลนด์ยังไม่เคยชนะเลยสักครั้งเดียว )
การมาของ ” ราเชล แม็กอดัมส์ ” ค่อนข้างเหนือ ความคาดหมาย เพราะต้องมาประกบคู่กับ วิล เฟอร์เรล บอกตามตรงว่าทั้งคู่ไม่มีเคมีที่เข้ากันเลยสักนิด เหมือนจะเป็นแคสติ้ง ที่ดูขัดแย้งกันเบา ๆ แต่ปรากฏว่าเหมือนอยู่ในหนัง ทั้งคู่ก็ดูไหลลื่น และ เข้าขากันได้เป็นอย่างดี ท่ามกลางเส้นเรื่องเลิฟไลน์เบาบาง ที่ยัดใส่เข้ามาแบบงง ๆ แต่ก็มีบางมุมที่เรารู้สึกว่าเป็นคู่พระนางที่ไม่มีเสน่ห์ด้วยกันเลยจริงๆ
แต่ ราเชล ก็ยังทำหน้าที่ ของตัวเอง ได้ค่อนน่าพอใจ นี่อาจจะไม่ใช่การแสดงแนวถนัด ของเธอสักเท่าไหร่ เพราะเรามักจะเห็นเธอเล่นบนดราม่าจริงจัง อยู่บ่อยครั้ง เมื่อมาเล่นคอมมาดีกับตลกมืออาชีพแน่นอนว่าพลังของเธอเข้าไปถึงพวกเขาอยู่แล้ว ขณะที่นักแสดงสมทบอื่นๆ ก็แอบดูไม่น่าจดจำสักเท่าไหร่ ” แดน สตีเวนส์ ” ที่มาเป็นคู่แข่งบนเวที ประกวด เหมือนบทจะมีมิติซับซ้อนให้เล่น แต่ท้ายที่สุดก็เป็นเพียงตัวเสริมกลวงๆ แม้กระทั่ง ” เพียร์ซ บอสแนน ” หรือ “เดมี โลวาโต” ก็แค่เข้ามาเป็นตัวประดับให้หนังดูสมบูรณ์ขึ้นเท่านั้น
แน่นอนว่า Eurovision Song Contest จะต้องโดดเด่นเรื่องเพลง และ เอาเข้าจริงๆ หนังก็ทำได้ดีในส่วนของเพลงประกอบ หลายๆ เพลงทีเดียว หนังได้เพลงประกอบที่ชวนฟังและทรงพลังเพราะความพยายาม เล่นใหญ่ของหนังเอง แม้เนื้อเพลงบางเพลง จะออกมาแปลกๆ เล็กน้อย แต่พอได้ซาวน์อิเล็กทรอนิกส์ ผสมผสานสไตล์ไวกิ้งที่ฟังดูเอพิกเข้ามาช่วยเสริม ก็ไพเราะดีไปอีกแบบ
แต่น่าเสียดายที่หลายๆ เพลงที่ออกมานั้น นักแสดง ไม่ได้เป็นคนร้องเพลงเอง มีเพียง วิล เฟอร์เรล เท่านั้นที่ขับขานออกมาในเพลงต่าง ๆ เสียงร้องของราเชลได้ใช้นักร้องสาว ” มียา มาเรนน์ ” ( มอลลี ซานเดง ) มาร้องให้แทน ที่จะเห็นได้ชัดเจนตอนที่อยู่ในหนังว่า เป็นการลิปซิงค์ออกมาจากปากของราเชล ที่เป็นข้อเสียจุดหนึ่งที่ทำให้การแสดงของเธอดูด้อยลงไปอย่างน่าเสียดาย
Pierce Brosnan ผู้เป็นพ่อสักเท่าใดนัก ทั้งก็ยังดูเหมือนเป็นพ่อลูกกับนางเอกอย่าง Rachel McAdams เสียมากกว่า แต่เมื่อดูๆ ไป กลับพบว่ามันดูดีมีมาตรฐานยิ่งกว่าหนังเน็ตฟลิกซ์หลายๆ เรื่องเสียอีก
ไม่ว่าจะเป็นในด้าน ของเพลงที่ถูกเรียบเรียงมาอย่างไพเราะ การออกแบบคอสตูมและเพอร์ฟอร์แมนซ์บนเวทีที่ตระการตา เพลงสุดท้ายก็ส่งเสริมอารมณ์ได้ดี ขณะที่มุมกล้องและการถ่ายทำก็ออกมาเป็นไอซ์แลนด์ที่สดสวยและน่าประทับใจ
หนังที่เริ่มแรก ก็เป็นเพียงความฝันที่ผู้คนในเมืองไม่เชื่อ มองเป็นเพียงความเพ้อฝัน แม้แต่พ่อของเขาเองก็เหนื่อยหน่าย แต่เมื่อเวลาผ่านไป การเข้าร่วมแข่งขันพบพานทั้งความบังเอิญและอุปสรรคความพังต่างๆ ก็กลับเริ่มกลับกลายเป็นความภาคภูมิใจของคนเมือง
เรื่องราวที่พาเราไปเจอกับสิ่งที่ไม่คาดคิด อาจมีบางจุดที่ดูอืดอาดไปบ้าง แต่เมื่อหนังผ่านมาถึงช่วงท้ายไคล์แมกซ์ ก็ชักชวนให้ซาบซึ้งน้ำตาซึมตามได้ ร่วมกับเพลงประกอบที่เรียกได้ว่า เข้าทีและเพราะดีทุกเพลง ผ่านเสียงร้องที่เทพจัดเต็ม การถ่ายทำบนเวที แสงสี ยิ่งใหญ่ตระการตา
จากที่คิดว่าเป็นหนังฆ่าเวลากลับสร้างความประทับใจได้มากกว่านั้น
มองว่าการใช้พระเอก ( ผู้ที่เขียนบทและเป็นโปรดิวเซอร์เอง ) เป็น Will Farrell ก็อาจจะเหมาะตรงที่เขาเข้ากับบทคอมิดี้เพียงแต่หน้าอาจจะดูแก่ไปนิดนึงเท่านั้นเอง
Fire Saga / ไฟร์ซาก้า เป็นชื่อวงของลาร์สและซิกริต ที่เติบโตมาด้วยกัน ดูเหมือนทั้งสองจะมีความรู้สึกที่มากเกินกว่า พี่น้องกัน มองเห็นความรู้สึกที่ทั้งสองมีแต่ต่อกันแต่เหมือนลาร์สพยายามที่จะหยุดและยั้งเอาไว้ ให้เหตุผลเพียงว่าต้องการโฟกัสที่ชัยชนะ
แต่เหมือนในช่วงเวลาที่พวกเขาอยู่ในการแข่งขัน การมีตัวละครอื่นเข้ามาเกี่ยวข้องพาให้ความคิดและความรู้สึกของพวกเขาเปลี่ยนแปลงไป สิ่งที่พวกเขาได้พบได้เจอก่อเกิดเป็นประสบการณ์ให้เขาและเธอได้ค้นเจอตัวเอง
ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
ภาพยนตร์เรื่อง: Eurovision Song Contest: The Story of Fire Saga / ไฟร์ซาก้า : ไฟ ฝัน ประชัน เพลง
ผู้กำกับภาพยนตร์: David Dobkin
ผู้เขียนบทภาพยนตร์: Will Ferrell, Andrew Steele
นักแสดงนำ: Will Ferrell, Rachel McAdams, Dan Stevens, Pierce Brosnan
ดนตรีประกอบ:
ความยาว: 123 นาที
ปี: 1988
แนว/ประเภท: Comedy, Music
อัตราส่วนภาพ: 1.85: 1
ประเทศ:
เรท: ไทย/-, MPAA/PG-13
วันที่เข้าฉายในประเทศไทย:
สตูดิโอ/ผู้สร้าง/ผู้จัดจำหน่าย: European Broadcasting Union (EBU), Gary Sanchez Productions, Gloria Sanchez Productions, Netflix